หลังเยอรมนีประกาศล็อกดาวน์มาตั้งแต่เดือนมีนาคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่มีผู้ประท้วงอย่างต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งห้ามผู้ประท้วงออกมาชุมนุมประท้วง ศาลเยอรมนีมีคำสั่งเมื่อวานนี้ ห้ามประชาชนออกมาชุมนุมต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล เกรงว่า ผู้ประท้วงจะละเมิดกฏระเบียบควบคุมโรค เช่น การไม่สวมหน้ากากอนามัยและการไม่ทำตามกฎการเว้นระยะห่างทางสังคม และจะทำให้โรคโควิด-19 กลับมาระบาดอีกครั้ง
โฆษกสำนักงานตำรวจนครบาลกรุงเบอร์ลิน เปิดเผยว่า ผู้ประท้วงราว 5,000 คน ไม่เชื่อฟังคำสั่งของศาล ออกมาประท้วงตามท้องถนนในเขตชาร์ลอตเทินบวร์ก ทางตะวันตกของกรุงเบอร์ลิน ชูแผ่นป้ายว่าเสรีภาพ รณรงค์ให้ประชาชนไม่ยอมรับการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีน้อยคนมากในกลุ่มผู้ประท้วงที่สวมหน้ากากอนามัย ผู้ประท้วงบางคนพยายามฝ่าแนวกั้นของตำรวจ และด่าตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ทำให้ตำรวจใช้กำลังสลายการประท้วง เช่น สเปรย์พริกไทย กระบองและบางจุดเกิดการชกต่อยระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจ กระทบการจราจรในบางพื้นที่ของกรุงเบอร์ลิน ตำรวจจับกุมผู้ประท้วงกว่า 600 คน
ตำรวจ ระบุว่า อีกจุดหนึ่งที่มีการประท้วงคือที่บริเวณประตูบรันเดินบวร์ค ผู้ประท้วงชุดสุดท้ายยอมสลายการประท้วงช่วงดึกวานนี้ หลังตำรวจขู่ฉีดน้ำแรงดันสูงสลายการประท้วง
เยอรมนีเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในเดือนพฤษภาคม เช่น อนุญาตให้ร้านอาหารและบาร์เปิดให้บริการตามปกติ แต่เยอรมนียังคงคุมเข้มข้อกำหนดบางประการเพื่อควบคุมโรค เช่น กำหนดให้ลูกค้าที่จะเข้าไปนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหารหรือพักในโรงแรมจะต้องแสดงหลักฐานการรับวัคซีนหรือผลตรวจโรคครั้งล่าสุดเป็นลบ แต่ผู้ประท้วงต้องการให้รัฐบาลยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ทั้งหมด
ในปัจจุบัน เยอรมนีมีผู้ป่วยสะสม 3,700,000 คน เสียชีวิต 92,172 ราย
Cr: afp, foxnews, business times