นายไซมอน เรลลา นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งออสเตรีย เปิดเผยว่า การฉีดวัคซีนเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ สามารถหลบเลี่ยงวัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทีมวิจัยยังเสนอแนะ คณะผู้กำหนดนโยบายสาธารณสุขของรัฐบาลและประชาชนทั่วไปว่า แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่รับวัคซีนครบแล้วก็ตาม แต่ควรสวมหน้ากากอนามัยและทำตามมาตรการควบคุมโรคอื่นๆ เช่นการเว้นระยะห่างเพื่อความปลอดภัยไปจนกว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศรับวัคซีนครบแล้ว
ทีมวิจัย ซึ่งใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์จากการรวบรวมสถิติทางระบาดวิทยาเพื่อศึกษาเรื่องนี้ พบว่า การเร่งโครงการวัคซีนให้เดินหน้าเร็วขึ้น จะช่วยลดการระบาดของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ แต่หลังจากประชากรส่วนใหญ่ของประเทศรับวัคซีนแล้ว ถ้าทุกคนการ์ดเริ่มตก มีโอกาสที่เชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์จะกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง หมายความว่า หลังจากประชากรส่วนใหญ่ของประเทศรับวัคซีนครบทุกคนแล้ว จะมีเฉพาะเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์เท่านั้นที่แข็งแรงหลบเลี่ยงประสิทธิภาพของวัคซีนและระบาดอยู่รอบๆตัวเราต่อไปได้ แต่ถ้าทุกคนสวมหน้ากากอนามัยและการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์จะค่อยๆหมดไปจากประเทศ
ผลวิจัยดังกล่าวซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อ เนเจอร์ ไซอึนทิฟิก รีพอร์ทส์ (Nature Scientific Reports)สนับสนุนการตัดสินใจของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC)ของสหรัฐฯ ที่ออกข้อกำหนดใหม่เมื่อวันอังคาร แนะนำให้คนที่รับวัคซีนครบแล้วให้สวมหน้ากากอนามัยต่อไปโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดในอัตราที่สูง เตือนว่าแม้แต่คนที่รับวัคซีนครบแล้วก็อาจจะกลับมาติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์เช่น สายพันธุ์เดลตา
Cr: cnn, keyt