มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับ กพย. - ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา จัดเวทีเสวนาการแลกเปลี่ยนข้อมูลประเด็น ‘รู้เท่าทันโฆษณาอาหารยารักษาโควิดได้หรือไม่?’ ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการ เฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา ย้ำ เรื่องการสร้างข่าวเฟคนิวส์ ซึ่งพบว่าใน 9 เดือนมานี้ คนไทยแชร์ข่าวปลอมถึง 20 ล้านคน และเป็นที่น่าตกใจเพราะกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมมากกว่า 90% อยู่ในช่วงอายุ 18-34 ปี และพบว่า 70% ข้อมูลปลอมที่แชร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สุขภาพ ข่าวที่มีเคยตรวจสอบว่าเป็นเท็จในอดีต แต่ในปัจจุบันข้อเท็จจริงที่เคยตีพิมพ์ได้มีความหมายตรงข้าม เพราะโดนตัดสินจากข้อมูลที่มีไม่มากพอ บางข่าวได้มีการพิสูจน์ข้อมูลเพิ่มเติมตามมาภายหลัง และที่สำคัญคือ ขาดแหล่งข้อมูลสนับสนุนโดยรัฐที่เป็นรูปธรรม ส่วนการเฝ้าระวังควรจะต้องทำร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพร้อม ๆ กัน
ด้านมลฤดี โพธิ์อินทร์ นักวิชาการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้นำเสนอผลการเก็บข้อมูลก่อนเกิดโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปี 62 – 64 ที่ผ่าน ซึ่งมูลนิธิได้ทำงานเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ออนไลน์ร่วมกันทั้งหมด 6 ภาค เนื่องจากพบว่า หลังจากการระบาดของโควิด-19 ประชาชนหันไปซื้อขายสินค้าผ่านทางออนไลน์มากขึ้น จึงทำให้เกิดกลไกการเฝ้าระวัง ในการทดลองเบื้องต้นใน 34 จังหวัด จะมีระบบการทำงาน และเครื่องมือการส่งต่อ การจัดการสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงาน และแจ้งเตือนภัยให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศ
โดยที่ผ่านมาได้เริ่มจากการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่ อย. ยกเลิกเลขสารบบแล้วและห้ามขาย แต่ยังมีขายในตลาดออนไลน์จำนวนมาก ตรวจพบถึงจำนวน 40 รายการ จาก 100 รายการ สรุปเป็นอัตราส่วนได้ดังนี้ ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก 72.5% ผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค 15.0% ผลิตภัณฑ์ผิวขาว 7.5% และ ผลิตภัณฑ์เสริมสมรรถภาพทางเพศ 5.0% และยังพบว่า บางเจ้าใช้วิธีเปลี่ยนชื่อสินค้า ปรับเปลี่ยนเนื้อหาบนฉลากแต่ลักษณะบรรจุภัณฑ์เดิม เพิ่มเลขสารบบใหม่ แต่เป็นผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกับที่ได้ยกเลิกเลขสารบบแล้วแต่นำมาขายต่อ ซึ่งก็ได้หารือร่วมกับ อย. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แก้ไข
ผลของการเฝ้าระวังเรื่องร้องเรียนโฆษณาเกินจริงในมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ เครือข่าย 7 ภาค ตั้งแต่ ปี 63-64 จำนวน 826 ราย ทำให้มูลนิธิฯ ได้สร้างและพัฒนาวัตกรรมใหม่ขึ้นมาคือ การใช้ระบบ AI ตรวจจับข้อความหรือความคิดเห็นของผู้บริโภคบนสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อที่จะได้นำข้อมูลที่ตรวจสอบข้อเท็จแล้วเข้าเผยแพร่และเสริมความรู้ให้กับผู้บริโภคได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงทดลองการใช้งานจริง
ภญ. อรัญญา เทพพิทักษ์ ผอ.ศูนย์จัดการเรื่องร้องเรียน และปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ (อย.) ให้ข้อมูลจากสถิติเรื่องร้องเรียน ในปี 2563 อย.ได้ดำเนินคดีโฆษณาเกินจริงไปแล้วจำนวน 1,388 รายการ คิดเป็น 54% เมื่อเทียบกับคดีทั้งหมดของ อย. สถิติผู้กระทำผิดที่เก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 63 ถึง กุมภาพันธ์ปี 64 จากจำนวน 1,010 คน พบว่าเป็นคนกรุงเทพฯ 351 คน (38%) คนต่างจังหวัด 576 คน (62%) และเรื่องที่ร้องเรียนจะเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาหาร เครื่องสำอาง ยารักษาโรค ตามลำดับ พอมีเกิดโรคโควิด-19 ระบาดก็มี หน้ากากอนามัย เครื่องมือการแพทย์ต่าง ๆ ที่พบว่ามีลักษณะการโฆษณาที่ผิดกฎหมาย
ปัญหาหลักที่พบ คือ การตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน ที่มีระบบ AI ตรวจจับคำพูด ข้อความของผู้บริโภค มันจะทำให้เข้าถึงสินค้านั้น ๆ ได้ง่ายจากการจ่ายเงินซื้อโฆษณายิงตรงกลุ่มเป้าหมายของพ่อค้าแม่ค้า โดยเฉพาะสื่อ Facebook ใช้กลยุทธ์โฆษณาซ้ำๆ ให้เห็นผ่านตาบ่อย ๆ จนทำให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่มีการระมัดระวัง ปัจจุบัน อย. จึงได้มีการร่วมมือกับ Facebooking ดำเนินการตรวจจับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย หรือผิดมาตรฐานชุมชน เมื่อรีพอร์ตทางทีมงานและระบบของ Facebook จะปิดกั้นให้ภายใน 48 ชม. อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอความร่วมมือจากผู้บริโภค คือ การไม่แชร์ ไม่ติดตาม ไม่กดไลค์ ที่ควรทำคือกดรีพอร์ด
อ่านฉบับเต็ม:https://www.facebook.com/watch/live/?v=2879685659013326&ref=watch_permalink