นายกฯ ถก 40 ซีอีโอ หลังล็อกดาวน์ 13 จังหวัด
แนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วงบ่ายวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะประชุมร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ 40 ซีอีโอบริษัทเอกชนชั้นนำของไทย เพื่อระดมสมองหาแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 ระบาด
ประเด็นในการหารือ นายกรัฐมนตรี ต้องการทำความเข้าใจและสอบถามถึงผลกระทบภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมหลังรัฐบาลประกาศมาตรการล็อกดาวน์คุมเข้มในพื้นที่ 13 จังหวัด รวมทั้งขอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจาก 40 ซีอีโอโดยตรง
นายกรัฐมนตรีเคยเชิญนักธุรกิจยักษ์ใหญ่ 70 ราย เข้าหารือที่ทำเนียบมาแล้ว ในช่วงการคลายล็อกดาวน์ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.63 เชิญตัวแทนและผู้ประกอบการ 3 กลุ่มในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) โดยมีนักธุรกิจกว่า 70 คนร่วมถกแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทย
ส่วนในวันพรุ่งนี้ (22 ก.ค.) จะมีการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) ภาคเอกชน เตรียมนำเสนอ 4 ประเด็นคือ
1.แนวทางการควบคุมการแพร่ระบาด ต้องการให้ใช้ชุดตรวจโควิด-19 แยกผู้ติดเชื้อออกจากผู้ไม่ติดเชื้อ
2.การเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชนให้ทั่วถึง
3.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น เพิ่มเงินคนละครึ่ง เป็น 6,000 บาท
4.มาตรการการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
7 สายการบิน ร้องรัฐช่วยเยียวยา
สมาคมสายการบินประเทศไทย ประกอบด้วย 7 สายการบิน ได้แก่ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ สายการบินไทยสมายล์ สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และสายการบินไทยเวียตเจ็ท นำโดย นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ นายกสมาคมฯ จะยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการเยียวยาและขอรับความช่วยเหลือในฐานะด่านหน้าในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (SoftLoan)
สินเชื่อซอฟท์โลนที่กลุ่มธุรกิจสายการบินได้ยื่นเสนอขอให้รัฐบาลช่วยเหลือตั้งแต่ได้รับผลกระทบจากการล็อคดาวน์ประเทศครั้งแรกเมื่อต้นปี 63 ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการสายการบินได้ยื่นเสนอไปเมื่อปลายเดือนส.ค.63 วงเงิน 24,000 ล้านบาท และได้ปรับลดลงเหลือ 14,000 ล้านบาทในช่วงเดือนพ.ย.63 จนปัจจุบันยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
ปรับลดโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เกลี่ยงบฯไปช่วยพื้นที่สีแดงเข้ม
คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงโครงการยิ่งใช้ ยิ่งได้ เพื่อเกลี่ยงบประมาณโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ไปใช้ในโครงการเยียวยาประชาชน และแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดไวรัสโควิด-19 ใน 13 จังหวัด เป็นพื้นสีแดงมีการล็อกดาวน์ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
การปรับรายละเอียดโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้
-คนที่เข้าร่วมโครงการ จากไม่เกิน 4,000,000 คน เป็นไม่เกิน 1,400,000 คน
-ปรับวงเงินโครงการลดลงจาก 28,000 ล้านบาท เป็น 9,800 ล้านบาท หรือลดลง 18,200 ล้านบาท
-เพิ่มวงเงินใช้จ่ายสูงสุดจากเดิมไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน เป็น 10,000 บาทต่อคนต่อวัน
-ขยายการใช้จ่ายจากเดิม 1 ก.ค.-30 ก.ย.64 เป็น 1 ก.ค.-30 พ.ย.64
จำนวนผู้ลงทะเบียนจนถึงวันที่ 14 ก.ค.2564 มีเพียง 453,864 คน ครม.จึงให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รับความเห็นคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ ไปพิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงาน
ภูเก็ต ย้ำกลุ่มคนในโรงแรม-ขนส่ง (SHA Plus) ต้องดูแล นทท.อย่างเข้มงวด ปลอดโควิด
จังหวัดภูเก็ต ประชุมหารือแนวทางการขับเคลื่อนควบคุมกำกับดูแลและจัดการมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยจังหวัดภูเก็ต (SHA Plus) ใน 3 สาขา
-ด้านการโรงแรมที่พักและสถานที่จัดการประชุม
-ด้านยานพาหนะทางบก
-ด้านยานพาหนะทางเรือ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันและเกิดมาตรฐานความปลอดภัยในการดูแลนักท่องเที่ยว
นายพิเชษฐ์ ปาณะพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ประชุมคณะกรรมการควบคุมกำกับดูแลและจัดการมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยจังหวัดภูเก็ต (SHA Plus) มีมติร่วมกัน
-กำหนดให้กลุ่มคนประจำเรือ ผู้ควบคุมเรือ พนักงานขับรถโดยสาร พนักงานโรงแรมที่ได้รับมาตรฐานSHA Plus จะต้องเป็นกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 100%
-กำหนด ขอบเขตหน้าที่ ของ SHA Plus Manager ให้มีหน้าที่ดังนี้
-ดูแลให้นักท่องเที่ยวพักให้ครบตามจำนวนคืนที่ลงทะเบียนและรายงานผ่านศูนย์ประสานงาน
-ต้องจัดรถไปรับนักท่องเที่ยวที่สนามบินในวันที่มาถึง
-ต้องดูแลให้ลูกค้าอยู่ในห้องพักจนกว่าจะได้รับผลการตรวจจากสนามบินและห้ามบุคคลอื่นเข้าไปในห้องพักจนกว่าผลการตรวจจะออกมา
-ดูแลลูกค้าให้ไปรับการ Swab ที่ศูนย์Swab ที่ทำการนัดหากลูกค้าไม่ยอมให้รายงานทาง EOC ภายในวันรุ่งขึ้น
-ต้องไม่ให้ลูกค้าเช็คเอาท์จนกว่าผลการตรวจเชื้อโควิด-19 จะออก
รมว.ท่องเที่ยวฯ คาดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ทำให้มีเงินสะพัดเดือนนี้ 500 ล้าน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึงโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ คาดการณ์ว่าทั้งเดือนนี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 12,000 คน หลังจากเห็นตัวเลขสะสม 19 วันแรก นับตั้งแต่ 1-19 ก.ค.64 มีจำนวน 8,619 คน มีการจองห้องพักโรงแรมในเดือนนี้อยู่ที่ 186,176 คืน ซึ่งส่วนนี้ได้ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ถือว่ามีการเดินทางจริงแน่นอน จากการสำรวจการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเฉพาะยุโรป สหรัฐฯ ปกติจะใช้จ่ายอยู่ที่ 65,000 บาทต่อคนต่อทริป แต่ขณะนี้ใช้จ่ายสูงขึ้นอยู่ที่ 89,000 บาทต่อคนต่อทริป จึงคาดว่าต่างชาติที่เข้ามาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.64 มีการใช้จ่ายเงินสะพัดในพื้นที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท
สำหรับตลาดในประเทศ คาดหวังว่าไตรมาส 4/2564 จะมีการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่คาดไว้ว่าภายในเดือนส.ค.64 จะสามารถเดินทางใหม่ได้ แต่ขณะนี้ประเมินจากสถานการณ์ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว โดยจะหารือร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อพยายามให้เดือนนี้ สามารถเปิดลงทะเบียนโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย แต่รูปแบบการเดินทางอาจเน้นให้เที่ยวเฉพาะในจังหวัดที่มีการติดเชื้อไม่มาก หรือจังหวัดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับต่ำจริงๆ กลุ่มสีเขียวและสีเหลือง
หากเป็นจังหวัดสีส้ม สีแดง หรือสีแดงเข้ม จะไม่อนุญาตให้เที่ยวเด็ดขาด รวมถึงอาจเป็นรูปแบบการจับคู่เที่ยวระหว่างจังหวัดที่ปลอดภัยก่อน เพื่อฟื้นบรรยากาศในภาพรวม และนำร่องการเดินทางใหม่อีกครั้ง โดยส่วนนี้ยังต้องหารือกันอีกครั้งว่าจะสามารถเริ่มต้นได้อย่างไร เนื่องจาก ต้องประเมินสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ด้วย