ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุเกี่ยวกับการใช้มาตรการสกัดการระบาดของเชื้อโควิด-19 ว่า
ทางสุดท้ายในการตัดตอนการระบาด คือ full lockdown ผู้บริหารศูนย์บริหารสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ( ศบค.) กล่าวว่า การทำ full lockdown แบบช่วงเดือนเม.ย.63 รัฐบาลหมดค่าใช้จ่ายถึงเดือนละ 300,000 ล้านบาท เงินจำนวนนี้สามารถเพิ่ม capacity ในการตรวจเชื้อ, ปรับปรุงระบบการเฝ้าระวังการระบาด, เพิ่มศักยภาพของระบบโรงพยาบาล, ซื้อวัคซีนประสิทธิภาพสูง วางแผนการจัดหาและกระจายรวดเร็ว และมีปริมาณเกินพอสำหรับคนทั้งประเทศได้
ส่วนที่มองว่า การ full lockdown คือ ทางเลือกสุดท้าย เนื่องจาก ผ่านมา 10 วัน ของมาตรการสกัดการระบาด เชื่อว่า ทุกคนคงบอกได้ว่าประสบผลสำเร็จหรือไม่ จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ยังสูงขึ้น เรื่อยๆ สอดคล้องกับการระบาดของสายพันธุ์เดลตา คาดว่า ภายในเดือนนี้ สายพันธุ์นี้น่าจะแทนที่สายพันธุ์อัลฟาเป็นสายพันธุ์หลักของประเทศ หลังจากยึดครองกรุงเทพได้แล้วภายในครึ่งเดือนแรก
บทเรียนจากประเทศอังกฤษ ในช่วงที่พบการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นราว 3 เท่าจากฐานเดิม ในส่วนของประเทศไทยก็เดินมาถึงจุดนี้เหมือนกัน คือ จาก 2,000-3,000 คน และในวันนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 7,000 คน (แม้ว่าจะต่ำกว่าความเป็นจริงไม่น้อย จากข้อมูล positive rate ที่ชี้ว่าเราตรวจน้อยเกินไป)
ถ้าเราดูแบบแผนการระบาดของอังกฤษ จะเห็นว่าหลังจากสายพันธุ์เดลตายึดครองพื้นที่ได้หมด จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังพุ่งสูงขึ้นอีก 3-4 เท่า ถ้าไม่มีมาตรการอะไรเพิ่มเติม
ศ.นพ.มานพ ระบุว่า ข้อมูลผู้ป่วยหนัก ผู้ป่วยใน ICU เพิ่มมากแค่ไหน แม้จะระดมสร้าง รพ.จริง, จัดหาเตียง, เนรมิตเครื่องช่วยหายใจ, ออกซิเจน, อุปกรณ์การแพทย์ต่าง ๆ ได้ชั่วข้ามคืน เราก็ไม่สามารถเพิ่มจำนวนบุคลากรได้มากกว่านี้อีก
ทางเลือกอื่นในการสกัดการระบาด ไม่ว่าจะเป็นการระดมสร้างภูมิคุ้มกันผ่านวัคซีน กรุงเทพมหานครและอีกหลายจังหวัดเสี่ยงมีการฉีดวัคซีนไปพอสมควร แต่ด้วยประสิทธิภาพของวัคซีน ระยะเวลาในการกระตุ้นภูมิ รวมถึงจำนวนผู้ได้รับวัคซีนที่ยังไม่มากพอ เราหวังผลไม่ได้
ส่วนการตรวจก็มีข้อจำกัด ตัวเลขการตรวจรวมรายสัปดาห์ ฉบับล่าสุดของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยังไม่เผยแพร่ออกมา แต่ถ้าดูข้อมูลของศูนย์บริหารสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 (ศบค.) ในตาราง เราตรวจหาผู้ติดเชื้อได้ต่ำมาก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตรวจได้เพียงวันละ 3,000 คน และมี positive rate ที่สูงมากๆ จนน่าตกใจ การค้นหาผู้ป่วยและแยกโรคแทบเป็นไปไม่ได้
พร้อมทั้งทิ้งท้ายว่า ‘บางที ... พวกเราในฐานะประชาชน ควรใช้เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นบทเรียนว่า เราปล่อยให้สถานการณ์เดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร’
CR:ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร