ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Nithi Mahanonda" แนะนำกลยุทธ์ในการบริหารจัดการเตียงผู้ป่วย ICU โดยผู้ป่วยที่ไม่มีอาการดูแลตัวเองได้ให้ติดตามเฝ้าระวังที่บ้าน และบุคลากรแพทย์ต้องลดกำแพงความเฉพาะทางลงเพื่อสนับสนุนเพื่อนร่วมวิชาชีพ
โดยระบุว่า
"ความจริงไม่ค่อยได้คุยเรื่องนี้มานานเพราะเห็นใจน้องๆในกระทรวงสาธารณสุขที่ทำงานกันตัวเป็นน็อตหัวเป็นเกลียวอยู่แล้วประกอบกับ ไม่อยากสร้างความสับสนให้กับสังคมอีก แต่ผมคิดว่าขณะนี้สถานการณ์การระบาดในบ้านเราโดยเฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล ขณะนี้มันระบาดไปมากไปไกลแล้ว คนเดินไปเดินมาเราไม่รู้แล้วว่าใครเป็นใคร ใครมีเชื้อในตัวบ้างเป็นจำนวนมาก
เราสมควรจัดลำดับความสำคัญ (priority) ของแผนกลยุทธ์ใหม่ครับ………กลยุทธ์ ตอนนี้ความสำคัญลำดับแรกไม่ใช่การป้องกันคนติดเชื้อหรือคนแพร่เชื้อเหมือนก่อนหน้านี้ (ตอนที่เรามีการระบาดน้อย) แต่ความสำคัญที่สุดที่ต้องทำกลับต้องเป็นเรื่องการบริหารทรัพยากรคือเตียงและ icu (ที่ไม่ใช่สักแต่ว่าเพิ่ม…..ปลายเปิดไม่จำกัด) กับบุคลากรให้เพียงพอ โดย
๑)คนที่สงสัยว่าได้สัมผัสหรือรับเชื้อและอยากตรวจต้องได้ตรวจและด้วยปริมาณการตรวจที่อาจมีจำกัดเราควรลดการตรวจเชิงรุก (proactive case finding) ลงเพื่อให้การตรวจมีเพียงพอในคนที่สงสัยและมีอาการ
เคสที่ไม่จำเป็น (ไม่มีอาการ ป้องกันตัวเองได้และสามารถถึงแพทย์ได้เร็ว) ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลให้เปลืองเตียงเปลืองบุคลากร……ติดตามเฝ้าระวังกันที่บ้านได้ ที่รพ.จุฬาภรณ์ทำมาแต่แรกของการระบาด คัดกรองให้ดี ทำได้ไม่มีปัญหาครับ
๒)เรื่องที่ ๑)ต้องทำพร้อมๆกับประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ว่าเมื่อไหร่ถึงไปโรงพยาบาลและการป้องกันตัวเองและครอบครัวทำอย่างไร ย้ำกันอีกบ่อยๆ ไม่ต้องเบื่อว่าเคยพูดแล้ว ……คนไทยพร้อมฟังและสอนง่าย
๓)คิดใหม่นอกกรอบบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ คิดใหม่ทำใหม่เรื่องการให้ยาให้เร็วป้องกันไม่ให้คนมีอาการหนัก เพราะทรัพยากรตรงนั้นจำกัด ถ้าจะให้คิดแบบฉลาดไม่ใช่รอให้ปอดอักเสบแล้วค่อยให้ยาต้านไวรัส…..ถ้าจะไม่เห่อตามฝรั่งคืออาจต้องกล้าคิดและทำวิจัยไปให้สุดขั้ว (ไม่ใช่แค่ให้ยาต้านไวรัสเร็วขึ้นทุกคนในคนที่ตรวจพบผลบวก) ต้องให้ยาป้องกัน (prophylactic) แบบ ไข้หวัดใหญ่ (influenza) คนที่คนในครอบครัวคนใกล้ชิดตรวจพบมีผลบวกคนหนึ่งให้ยาเลย และอย่ามาบอกว่าไม่มีข้อมูล……ถ้าไม่หา ถ้าไม่ดูมันก็ไม่มี แน่นอน Absence of evidence doesn’t mean the evidence is absent ครับ
๔)น้องๆหมอ อาจจะต้องปรับตัวกันในการทำงานข้ามความเฉพาะทางกันเพราะยามสงครามยามไม่ปกติความเชี่ยวชาญเฉพาะทางตามมาตรฐานฝรั่งใช้ไม่ได้ในสนามรบ คนข้างนอกทั่วไปเขามองเราเป็น หมอเป็นฮีโร่ ครับ ไม่ใช่หมอตา หมอหัวใจ หมอพยาธิ หรือหมออื่นๆที่จะดูคนไข้โควิดไม่ได้และเขามองเราเป็น “หมอ”ที่รักษาโควิดได้ดูแลคนไข้หนักในไอซียูได้ เราอาจต้องลดกำแพงความเฉพาะทางลง ไปช่วยเพื่อนๆร่วมวิชาชีพเรากัน พยาบาล เภสัช วิชาชีพอื่นๆก็เช่นกันครับ ยามศึกทหารราบ ทหารม้า ทหารเรือ ตำรวจ อาสาประชาชนจับปืนสู้โควิดได้ทุกคน
๕)มาตรฐานโรงพยาบาลต่างๆที่มีไว้ตรวจกันตามฝรั่งในเวลาปกติก็เช่นกัน บางอย่างที่เคร่งครัดว่าทำไม่ได้ให้คิดเหตุผลกันใหม่แล้วปรับเพื่อคนไข้ได้ครับ
สุดท้ายไหนๆถ้าไม่พูดเรื่องวัคซีนเลยเดี๋ยวจะตกเทรนด์ วัคซีนไม่มีอะไรมากครับ รีบๆฉีดเข้าตัว
1)อย่ารอเลือก
2)คนได้ครบแล้วอย่ารีบแย่งเข็มสามเห็นใจคนที่ยังไม่ได้บ้าง ใครอยากได้มาอยู่ในโครงการวิจัยกันครับ
3)ตัวเลขไม่ใช่สาระสำคัญครับคนทั่วไปที่แยกไม่ได้ถึง นัยสำคัญทางสถิตินัยสำคัญทางคลินิกและนัยสำคัญทางสังคมท่านจะแปลผลผิดๆพลาดๆครับ
4)ตัวเลขระดับภูมิคุ้มกันก็เช่นกันครับข้อมูล ณ เวลานี้ ไม่ต้องไปรู้หรืออยากรู้กันเพราะสูงต่ำมีความหมายเท่าไหร่อย่างไร ยังไม่ชัด การที่ว่าระดับต่ำป้องกันไม่ได้ สูงป้องกันได้นั้น ดูจะเหมือน ยุคดิจิตอล ขาวดำ 0/1 ไปหน่อย การป้องกันการติด การมีอาการ จากโรคนั้นมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายที่ทำให้มีหลายโทนของเทาๆครับ……อย่าไปรีบตื่นเต้นเกินเหตุ"
....