*ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้เวลา08.30น.*

04 กุมภาพันธ์ 2558, 09:12น.


+++ความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่น นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายอิเอะโซะ โคบายาชิ ประธานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและการค้าญี่ปุ่น - ไทย ของสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (เคดันเรน) ว่า ย้ำให้ญี่ปุ่นเห็นถึงทิศทางการพัฒนาของไทย โดยในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการปฏิรูปประเทศใน 3 เสาหลัก ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งจะปรับเปลี่ยนประเทศไทยในทุกๆ ด้านให้พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มาตรการส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ได้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.  ในมาตรการหลักๆ ญี่ปุ่นเห็นด้วย แต่อาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวบ้าง เพราะเคยชินกับมาตรการเก่ามานานกว่า 40 ปี  ขณะนี้หอการค้าญี่ปุ่นในประเทศไทย ได้อยู่ระหว่างการหารือเพื่อยื่นข้อเสนอปลีกย่อยบางเรื่อง เสนอให้กับรัฐบาลไทยในการปรับปรุงแผนบีโอไอ โดยจะได้ข้อสรุปภายในเดือนมี.ค. ในปีก่อน นักลงทุนญี่ปุ่น ขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีมูลค่าโครงการเป็นอันดับ 1 กว่า 2 แสนล้านบาท และในปีนี้มูลค่าจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากการเข้ามาตั้งโรงงานของเอสเอ็มอี ที่คาดว่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 500 ราย และการเข้ามาลงทุนในโครงการรถไฟ เพราะไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย ซึ่งหลังจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจ (เออีซี) ก็จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น  บริษัทญี่ปุ่นหลายรายเข้าไปตั้งฐานการผลิตในหลายประเทศของเอเชีย ภายหลังย้ายกลับมาลงทุนที่ไทย เพราะมีความพร้อมในทุกๆด้าน เช่น โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโทรคมนาคม ความสะดวกสบายด้านต่างๆ และมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน ทำให้ที่ผ่านมานักลงทุนจึงเข้ามาอยู่ในไทยเป็นจำนวนมาก



+++ขณะที่ การเดินทางเยือนญี่ปุ่นของของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ระหว่างวันที่ 8-10 ก.พ. โดยผู้นำรัฐบาลทั้งสองประเทศ จะร่วมกันแถลงในวันที่ 9 ก.พ.ผลักดันเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งเรื่องความร่วมมือระบบราง การพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทวาย และการส่งเสริมการค้าและการลงทุนของทั้งสองประเทศให้เกิดความ คืบหน้าเป็นรูปธรรมตลอดจนเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคส่วนต่างๆ ของญี่ปุ่น ต่อประชาคมระหว่างประเทศ



+++คณะรัฐมนตรี(ครม.) สั่งให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลาง ไปพิจารณารายละเอียดวงเงินค่าจ้างของโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่เสนอให้ ครม.ปรับเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก 8,140 ล้านบาท ให้มีราคาที่เหมาะสม เพราะราคาที่เสนอมาสูงมาก จึงอยากให้ตรวจสอบให้เกิดความรอบคอบ ก่อนเสนอให้ที่ประชุม ครม. พิจารณาอีกครั้ง



+++มีความเคลื่อนไหวจากหลายส่วนในระบบขนส่ง  นายกฤษณ์ สุริยผล เลขานุการนายกสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ยื่นหนังสือให้ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยุติการปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) ตามการปรับโครงสร้างราคาเอ็นจีวีของรัฐบาล การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากล่าสุดกระทรวงพลังงานปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีอีกครั้งเมื่อวันที่ 31 ม.ค. เป็น 13 บาทต่อกิโลกรัม โดยเป็นการทยอยปรับขึ้นมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่ราคาเริ่มต้นที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม  หากกระทรวงพลังงานไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ กลุ่มรถบรรทุกจะหยุดวิ่งรถ



+++นางภัทรวดี กล่อมจรูญ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทาง กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลพิจารณาขึ้นค่าโดยสาร 3 บาทให้ทันภายใน 1 สัปดาห์ หรือก่อนวันที่ 10 ก.พ.นี้ ไม่เช่นนั้นอาจเห็นผู้ประกอบการรถร่วม 2,500 คันทยอยหยุดวิ่ง



+++ ด้านนายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จะขอให้กระทรวงคมนาคมปรับเพิ่มเพดานการขึ้นค่าโดยสารระยะที่ 2 จากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 13 เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง



+++ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.), สมาคมธนาคารไทยว่า กกร. มีมติว่า กกร.เป็นห่วงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ที่มีแนวโน้มแข็งค่า มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายๆประเทศ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทยในปีนี้ ดังนั้นในวันที่ 11 ก.พ.นี้ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจะเป็นตัวแทนของ กกร.เข้าไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงแนวทางการช่วยเหลือเพื่อให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพและใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย



+++นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่า มีความกังวลค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งทางการค้า เห็นว่าจะต้องเตรียมตัวรับมือกับความผันผวนของค่าเงินที่จะมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคการค้าที่จะต้องลำบากมากขึ้น และจะต้องติดตามใกล้ชิด



+++นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานส.อ.ท. กล่าวว่า กกร.เตรียมเสนอให้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ออกมาตรการลดภาษีให้กับกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีลงเป็นระดับขั้นบันได คือ หากมียอดขายไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี ควรถูกเรียกเก็บภาษีเงินได้ร้อยละ 5 ยอดขายไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปี เก็บภาษีร้อยละ 15 และหากยอดขายไม่เกิน 200 ล้านบาทต่อปี เก็บภาษีร้อยละ 15 กรณีกฎอัยการศึกที่ยังไม่มีการยกเลิกประกาศบังคับใช้ กกร.มองว่า ภาครัฐยังคงห่วงในหลายๆประเด็น ซึ่งจะยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเห็นเหมาะสม แต่หากสามารถเปลี่ยนมาใช้กฎหมายอื่น เข้ามาทดแทนกฎอัยการศึก จะส่งผลดีต่อภาพพจน์ของประเทศมากกว่า



+++ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จัดสัมมนา ปี 2558 หัวเลี้ยวหัวต่อของการคลี่คลายวิกฤตเศรษฐกิจโลก  โดยมีนายวิรไท สันติประภพ และทีมผู้บริหารเครือกรุงศรีอยุธยา เข้าร่วม



+++ผู้จัดการกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และอธิบดีกรมบังคับคดีร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการจัดโครงการไกล่เกลี่ยลูกหนี้ตามคำพิพากษาในชั้นบังคับคดี เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคชสาร 2 ชั้น 3 กรมบังคับคดี  ดร.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกยศ.กล่าวถึงกรณีที่นิสิตนักศึกษายังไม่ทราบว่า กยศ.มีการปรับหลักเกณฑ์การคัดกรองผู้กู้ยืม โดยกำหนดผลการเรียนผู้ที่จะยื่นกู้ระดับ ม.ปลาย ว่า ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมระดับ ม.ต้น ไม่น้อยกว่า 2.00 ส่วนอนุปริญญาและปริญญาตรีต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสม ระดับ ม.ปลายไม่น้อยกว่า 2.00 ว่า  กยศ.ได้แจ้งไปยังสถานศึกษาทั่วประเทศแล้วว่าตั้งแต่ปีการศึกษา 2558 กยศ.จะใช้หลักเกณฑ์การคัดกรองผู้กู้ยืมใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้กับผู้กู้ทั้งรายใหม่และรายเก่า  สถานศึกษาจะต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้เด็กทราบ เพื่อเด็กจะได้เตรียมตัวและวางแผนหากไม่สามารถกู้กยศ.ต่อไปได้ ต้องการยกระดับคุณภาพการศึกษา และให้นักศึกษาตั้งใจเรียน เมื่อผลการเรียนดี โอกาสจะได้งานทำก็มีมาก เมื่อมีงานจะได้นำเงินมาใช้คืน กยศ. เพื่อให้รุ่นน้องได้กู้ยืมต่อไป



 

ข่าวทั้งหมด

X