พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือ ศบค. เปิดเผยว่า ที่ประชุม ศบค.ชุดเล็ก มีการหารือเกี่ยวกับการเปิดเรียนวันแรก เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.64 พบว่า มาตรการต่างๆ เป็นไปด้วยดี สถานศึกษา ครู ผู้ปกครองให้ความร่วมมือกับมาตรการดี แต่ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
โดยในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 4 จังหวัด ยังไม่อนุญาตให้จัดการเรียนการสอนในรูปแบบ On Site หรือไปเรียนที่โรงเรียน ส่วนโรงเรียนในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 17 จังหวัด สามารถจัดการเรียนแบบผสมผสานได้ โดยพิจารณาจากความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ หากต้องการเปิดการเรียนที่โรงเรียน จะต้องทำเรื่องขออนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
นอกจากนี้ ศบค.ยังมีหลักเกณฑ์ให้สถานศึกษาทุกแห่ง ต้องทำแบบประเมินผ่าน Thai Stop COVID Plus ซึ่งเป็นชุดคำถามจากกรมอนามัย เพื่อให้สถานศึกษาเข้าใจมาตรการควบคุมโรค จะทำให้ผู้ปกครองมั่นใจมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ผ่านการประเมิน มีเพียงบางส่วนที่ยังไม่เปิดการเรียนการสอนจึงยังไม่ได้ทำแบบประเมิน
อีกหนึ่งมาตรการ คือ การขอความร่วมมือให้ครู นักเรียนและผู้ปกครอง ทำแบบประเมินตนเอง Thai Save Thai ก่อนจะไปโรงเรียนทุกวัน คล้ายกับเป็นพาสปอร์ต หากเป็นเด็กเล็กให้พ่อแม่ช่วยประเมิน เช่น ตรวจวัดอุณหภูมิ และสำรวจสุขภาพเบื้องต้น ซึ่งมาตรการนี้จะเป็น New Normal ของสถานศึกษาทั่วประเทศ เพื่อให้ปลอดภัยจากโรค
ขณะเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการ ก็ยังซักซ้อมแผนรองรับ ในกรณีที่ป้องกันเฝ้าระวังเข้มข้นแล้ว แต่ยังมีการติดเชื้อ เพื่อเป็นแนวทางให้สถานศึกษาและผู้ปกครองปฎิบัติได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากบางกรณี การปิดโรงเรียนอาจจะไม่ตอบโจทย์ เช่น พบผู้ติดเชื้อในโรงเรียน 1-2 ราย หรือ 1 ห้องเรียน ก็จะมีมาตรการเพื่อให้นักเรียนยังสามารถเรียนต่อไปในรูปแบบต่างๆ
นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบค.ชุดเล็กยังมีการหารือเกี่ยวกับเด็กพิเศษ ผู้พิการ และนักเรียนโรงเรียนประจำ ซึ่งต้องมีมาตรการที่แตกต่างจากสถานศึกษาทั่วไป เนื่องจากนักเรียนจะกินนอนอยู่ที่โรงเรียน ทำให้ขณะนี้ยังเปิดเรียนไม่ได้ จึงต้องจัดมาตรการเพิ่มเติม เช่น ตรวจ Rapid Test ก่อนจะเข้าไปในโรงเรียน เพื่อยืนยันว่าไม่ติดเชื้อ
ส่วนการระดมฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการศึกษา ทาง ศบค.และกระทรวงสาธารณสุขกำลังระดมฉีดให้กับครู และครูผู้ดูแลเด็กพิเศษ ส่วนกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้พิการทางสายตา ผู้พิการทางสมอง เด็กพิเศษ ออทิสติก ผู้ป่วยจิตเวช ผู้บกพร่องทางจิต ผู้บกพร่องทางเชาว์ปัญญา หรือกลุ่มโรคอารมณ์ จะเป็นกลุ่มที่เข้าถึงวัคซีนได้ลำบาก จึงต้องขอให้ครอบครัว ชุมชน หรือโรงพยาบาลที่ดูแลอยู่ ช่วยให้คนกลุ่มนี้ได้เข้าถึงวัคซีน โดยภาครัฐได้จัดจุดฉีดวัคซีนเฉพาะให้กับบุคคลกลุ่มนี้ เช่น ที่โรงพยาบาลราชานุกูล กรมสุขภาพจิต ซึ่งจะบริการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเปราะบาง ผู้พิการ และครอบครัวที่ดูแลบุคคลกลุ่มนี้ด้วย