ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้เวลา 12.30 น.วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564

09 มิถุนายน 2564, 13:31น.


รมว.คลัง ชี้แจงความจำเป็นที่ต้องกู้เงิน 5 แสนล้านแก้ปัญหาโควิด-19



          นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม วงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาทว่าโรคโควิด-19 มีความรุนแรงมากสุดในรอบ 100 ปี มีการแพร่ระบาดไปรวดเร็วทั้งประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยมีการแพร่ระบาดตั้งแต่ต้นปี 63 จนถึงปัจจุบัน และยังไม่สามารถคาดการณ์ระยะเวลาสิ้นสุดได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนทุกสาขาอาชีพ ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 63 หดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 23 ปี นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 40



          เมื่อปีที่แล้ว ได้มีการออก พ.ร.ก.กู้เงิน โควิด-19 วงเงิน 1,000,000 ล้านบาท ใช้จ่ายรองรับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งปัจจุบันมีวงเงินกู้เหลือเพียง 1,764 ล้านบาท ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19ในระยะต่อไปได้



          รมว.คลัง กล่าวว่า จากสถานการณ์ตั้งแต่เดือนม.ค.64 จนถึงปัจจุบัน พบการระบาดในหลายคลัสเตอร์ ทำให้มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่ความไม่แน่นอน และการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ยังเป็นความเสี่ยงหลักที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพวัคซีนได้และการระบาดในระลอกใหม่นี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่าจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 64 ที่จะขยายตัวได้เพียงร้อยละ 1.5-2.5 และภาคการท่องเที่ยวที่ยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19  จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวในปี 64 ลดลงจากปี 63 ประมาณร้อยละ 53 และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 440,000 ล้านบาท



          นายอาคม กล่าวว่า รัฐบาลได้แก้ไขวิกฤตโควิดผ่านแหล่งเงินภายใต้กรอบกฏหมายที่มีทั้งการจัดสรรงบกลาง แหล่งเงินภายใต้พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-19 แต่ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาในระลอกใหม่ได้ ส่วนการจัดทำงบรายจ่ายเพิ่มเติมปี 64 รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ปี 64 มีข้อจำกัดและได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19  และหากรอบแหล่งเงินจากงบประมาณปี 65 จะไม่ทันต่อการแก้ปัญหาในระลอกใหม่



          ดังนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนโดยเร็ว รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วน ในการแก้ไขสถานการณ์เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19  ซึ่งถือเป็นกรณีฉุกเฉินรีบด่วน



          สำหรับสาระสำคัญของ พ.ร.ก.ฉบับนี้ คือ กำหนดให้กระทรวงการคลัง มีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศในวงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท โดยต้องลงนามในสัญญากู้เงิน หรือออกตราสารหนี้ ไม่เกินวันที่ 30 ก.ย.65



โดยมีรายละเอียด 3 แผนงาน คือ



1.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของ โควิด-19 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข การวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการจัดหาวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ การเตรียมพร้อมห้องปฏิบัติการ จัดซื้อคุรุภัณฑ์ทางการแพทย์ และเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรทางการแพทย์



2.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ช่วยผู้ประกอบอาชีพและผู้ประกอบการ สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง วงเงิน 300,000 ล้านบาท



3.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงาน/โครงการ เพื่อรักษาระดับการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุนและการบริโภค วงเงิน 170,000 ล้านบาท เพื่อพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเพื่อช่วยให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง



          รมว.คลัง กล่าวว่า เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวมีความโปร่งใส จึงกำหนดให้กระทรวงการคลัง จัดทำรายงานผลการกู้เงินตามพ.ร.ก.รายงานต่อที่ประชุมสภาฯ ภายใน 60 วัน พร้อมยืนยันว่า การออกพ.ร.ก.ฉบับนี้ คำนึงถึงการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ ความคุ้มค่าและความโปร่งใส และการก่อหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น กระทรวงการคลังจะทำอย่างรอบคอบ และอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง



CR:วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา 



เลขาฯสมช. เผย อปท.ต้องให้ศบค.เห็นชอบเรื่องการซื้อวัคซีน ไม่ใช่ซื้อได้ทุกแห่ง



          พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ในฐานะผู้อำนวยการ ศปก.ศบค. กล่าวถึง กรณีราชกิจจานุเบกษา ประกาศ 6 ข้อกำหนดบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 เพื่อเร่งแผนฉีดวัคซีนให้ประชาชน 50,000,000 คน ตาม วาระแห่งชาติ พร้อมปลดล็อกให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถใช้งบจัดซื้อวัคซีนฉีดให้ประชาชนในพื้นที่ กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถจัดซื้อวัคซีนเองได้ ต้องดูระเบียบข้อบังคับทางกฎหมาย รวมถึงแผนงานงบประมาณ และแผนวัคซีนของศบค.ด้วย เพราะ อปท.ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินเช่นกัน จึงต้องใช้งบอย่างคุ้มค่ามากที่สุดและต้องสอดคล้องกับแผนศบค.ที่สำคัญทุกหน่วยงานที่จะซื้อวัคซีน ต้องบูรณาการร่วมกันกับแอปพลิเคชัน หมอพร้อม เพราะจะเป็นแพลตฟอร์มสุดท้ายที่มีข้อมูลประชาชนทั้งไทยและต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้ว

          อปท.ที่จะซื้อจะต้องผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และจึงให้ศบค.พิจารณาอีกครั้ง ไม่ได้หมายความว่าเมื่อประกาศราชกิจจานุเบกษาแล้วทุก อปท.จะสามารถซื้อวัคซีนได้เองในทันที

          ส่วนเอกชนที่จะจัดซื้อวัคซีน ไม่ต้องผ่านการพิจารณาจากศบค. เพราะหน่วยงานที่นำเข้ามาจะรายงานให้ ศบค.รับทราบอยู่แล้ว ซึ่งการจัดซื้อของเอกชนสามารถดำเนินการควบคู่กับการกระจายวัคซีนของศบค.เพราะคนไทยได้ฉีดได้เร็วเท่าใดยิ่งดี ทั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมวัคซีนไว้จำนวน 100,000,000 โดส เพื่อฉีดให้คนไทย 50,000,000 คน จาก 67,000,000 คน รวมกับต่างชาติที่อยู่ในไทย 2,600,000 คน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

          ด้านกระทรวงมหาดไทยส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ทราบถึงการประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยให้ปฏิบัติตามประกาศของ ศบค.



รมว.สธ.สั่งตรวจสอบ ให้ผู้เชี่ยวชาญชี้แจง เคสหญิง 46 ปี เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน  




          นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีรายงานหญิงอายุ 46 ปี ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนนก้า เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 64 จากนั้นในช่วงดึกเสียชีวิตว่าขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องนี้จะต้องมีการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง ต้องดูว่ามีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ มีความเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงอย่างไรหรืออาการแพ้อย่างไร ก็เป็นเรื่องของทางวิชาการที่จะต้องสืบสวนชันสูตรเพื่อให้เกิดความชัดเจนและให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ในการฉีดวัคซีนในปริมาณมากๆ กระทรวงสาธารณสุขและคณะผู้เชี่ยวชาญ มีการประเมินว่าอาจจะเกิดผลที่ไม่คาดคิดหรืออาการไม่พึงประสงค์ได้ แต่จำนวนน้อยมาก ดังนั้นเรื่องนี้ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด



ผู้ว่าฯ กาญจนบุรี แจงเหตุ อ.สังขละบุรี ได้วัคซีนขวดเดียว เพราะมีคนลงทะเบียนฉีดวัคซีนแค่ 10 คน




          กรณีมีการให้ข้อมูลว่า อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ได้รับวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เพียง 10 โดส หรือ 1 ขวดนั้น มีคำชี้แจงจาก นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า กรมควบคุมโรค ซึ่งเป็นส่วนกลาง จะส่งวัคซีนไปแต่ละจังหวัดตามแผนการกระจายวัคซีน หลังจากนั้นจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด จะดูแผนภาพรวมจังหวัดว่า จุดใดควรได้มาก ได้น้อยอย่างไร จัดสรรตามสถานการณ์ของแต่ละจังหวัด ดังนั้น แต่ละอำเภอจะได้เท่าไหร่ต้องสอบถามกับทางจังหวัดหรือผู้ว่าราชการจังหวัด



          ในส่วนของจังหวัดกาญจนบุรี ได้กระจายวัคซีนไปให้รอบที่แล้ว จำนวน 11,580 โดส และวันนี้ (9 มิ.ย.) ก็จัดส่งไปเพิ่มอีก โดยจะทยอยส่งไปอีกเรื่อยๆ ตามกระบวนการกระจายวัคซีน จากนั้นขึ้นอยู่กับการจัดสรรของแต่ละจังหวัด



          นายจี​ระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงว่า  เหตุผลที่วันแรกๆ อำเภอสังขละบุรี ได้วัคซีนเพียง 1 ขวด  เพราะลงทะเบียนรับวัคซีน 10 คนเท่านั้น ดังนั้นระบบหมอพร้อม จึงนัดมาฉีดวัคซีน 10 คน

ข่าวทั้งหมด

X