รัฐบาล ห่วงใยประชาชนและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากฝนทิ้งช่วง จึงได้สั่งการให้กรมชลประทาน และทุกหน่วยงาน ประสานความร่วมมือกันเร่งให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน กรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ำตามสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ ประกอบกับปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่อย่างจำกัด จึงต้องบริหารจัดการน้ำอย่างดี ควบคู่กับการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝน และได้กำชับให้ทุกโครงการชลประทานวางแผนเก็บกักน้ำในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้มีน้ำพอใช้ในฤดูแล้งหน้าด้วย
หลังการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น 34,904 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 46 ของความจุอ่างรวมกัน เป็นน้ำใช้การได้ 10,974 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา(เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 8,153 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 34 ของความจุอ่างรวมกัน เป็นน้ำใช้การได้ 1,457 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งในขณะนี้มีการเพาะปลูกข้าวนาปี 64 ไปแล้วทั้งประเทศรวม 5.6 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 33.6 ของแผน เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพาะปลูกไปแล้ว 3.7 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 47.1 ของแผน กรมชลประทาน ได้ติดตามสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งดำเนินการตามแผนให้ความช่วยเหลือพื้นที่ข้าวนาปีที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำจากภาวะฝนทิ้งช่วง และประกอบกับปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนต่างๆมีปริมาณน้อย คาดว่า จะพอใช้ถึงเดือนก.ค.64 ซึ่งไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนให้พื้นที่การเกษตรได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงจำเป็นต้องทำการจัดสรรน้ำตามรอบเวรให้กับพื้นที่ทางการเกษตรโดยเฉพาะข้าวนาปีที่ทำการเพาะปลูกไปแล้ว เพื่อไม่ให้ผลผลิตได้รับความเสียหาย สำหรับเกษตรกรที่ยังไม่ได้ทำการเพาะปลูก ขอให้ชะลอการเพาะปลูกออกไปก่อน จนกว่าจะมีฝนตกชุกในพื้นที่สม่ำเสมอและมีน้ำเพียงพอ
นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้โครงการชลประทานทั่วประเทศ บริหารจัดการน้ำตามมาตรการที่วางไว้อย่างเคร่งครัด ตามนโยบายของรัฐบาล โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วยการจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศให้เพียงพอตลอดทั้งปี วางแผนการปลูกพืชโดยใช้น้ำฝนเป็นหลัก เน้นย้ำให้บริหารจัดการน้ำท่าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งเก็บกักน้ำให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ควบคู่กับการวางแผนป้องกันและบรรเทาอุทกภัย การกำหนดพื้นที่เสี่ยง กำหนดเจ้าหน้าที่ กำหนดเครื่องจักร เครื่องมือ เข้าไปประจำไว้ในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทันทีและยังกำชับให้ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับสถานการณ์น้ำและรอบเวรการใช้น้ำในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้เฝ้าระวังติดตามสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด หากประชาชนหรือหน่วยงานต้องการความช่วยเหลือสามารถโทรสายด่วนกรมชลประทาน 1460 ได้ตลอดเวลา