หลังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปฉีดในท้องถิ่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ได้มีการหารือทั้งในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และ ฝ่ายกฎหมายแล้ว หากอปท.ซื้อได้ก็ซื้อไม่มีปัญหา โดยไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมาย เพราะกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจอยู่แล้ว แต่จะซื้อผ่านช่องทางใด เพราะสิ่งสำคัญคือ ต้องผ่านบริษัทที่ขึ้นทะเบียนกับประเทศไทยแล้ว เนื่องจากการจัดซื้อต้องเป็นแบบรัฐต่อรัฐเท่านั้น ที่สำคัญต้องพิจารณาเรื่องงบประมาณรายได้ของแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน เนื่องจากกังวลเรื่องความไม่เท่าเทียม เพราะบางจังหวัดมีงบประมาณน้อย
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ขัดข้องทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่า องค์กรส่วนท้องถิ่นจะติดต่อกับบริษัทไหน เพราะวัคซีนนำเข้าทั้งหมดเป็นยอดของรัฐบาล แต่หากบริษัทนั้น สามารถเพิ่มยอดให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ ก็ไม่มีปัญหาในการสั่งซื้อ เพราะถือว่า นำวัคซีนไปฉีดให้กับประชาชน ส่วนตัวไม่ได้หวง ถ้าทำได้ทำ เพราะหากเพิ่มปริมาณวัคซีนได้ก็เป็นเรื่องที่ดี ที่สำคัญรัฐบาลฉีดให้กับประชาชนฟรี แต่การจะซื้อไปฉีดแล้วมีค่าบริการ ก็ต้องเป็นตามข้อกำหนด โดยจะขายต่อไม่ได้
ขณะที่ไทยได้รับมอบวัคซีนแอสตราเซเนกาแล้ว ซึ่งกำลังจัดสรรและฉีดให้กับประชาชนในเดือนมิ.ย. ซึ่งคาดว่า จะมีวัคซีนเพียงพอฉีดให้กับประชาชนตามสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง ยืนยันว่า ทุกจังหวัดจะได้รับวัคซีนทั้งแอสตราเซเนกา ซิโนแวกและชิโนฟาร์ม เชื่อมั่นว่าในเดือนมิ.ย.นี้จะไม่มีปัญหา ส่วนเดือนต่อไปก็จะต้องหารือต่อไป ซึ่งมีหลายบริษัทที่ติดต่อเข้ามา และหากมีอุปสรรคใดๆก็ต้องแก้ปัญหาให้ได้ ส่วนตัวห่วงประชาชน อยากให้ได้รับวัคซีนทุกคน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง แผนการส่งมอบวัคซีนแอสตราเซเนกา เดือนละ 10 ล้านโดส ในระยะต่อไปว่า เป็นการตั้งเกณฑ์ไว้ ซึ่งขีดความสามารถของไทยฉีดวัคซีนได้ประมาณเดือนละ 5 แสนโดส ดังนั้นจะมีการปรับยอดทั้งหมดเป้าที่กำหนดไว้คือกว่า 60 ล้านโดส ระหว่างนี้จะมีวัคซีนทางเลือกเข้ามา โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 และ 4 กำลังทำสัญญาอยู่ เชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะจัดหามาได้