เปิดหลักฐาน มัด'ลุงพล'กลายเป็นผู้ต้องหาคดีน้องชมพู่

02 มิถุนายน 2564, 13:52น.


          กว่า 1 ปี จากการเสียชีวิตของน้องชมพู่ วัย 3 ขวบ  หลายคนมองว่าคดีนี้ทำไมจึงมีความล่าช้า ในการจับกุมผู้ต้องหา ต่างจากคดีอื่น จนมาถึงเมื่อวานนี้ ศาลมุกดาหาร ได้อนุมัติหมายจับนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล อายุ 44 ปี ลุงเขยของน้องชมพู่ เป็นผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ที่หายตัวจากบ้านในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 ก่อนที่จะพบเป็นศพอยู่ในป่าบนภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้าน 2 กม. เมื่อวันที่ 14 พ.ค.63





          ทันทีที่ศาลออกหมายจับ นายไชย์พล หรือ ที่ทุกคนรู้จักในชื่อ ‘ลุงพล’ เมื่อเวลา 06.30 น.วันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ากระชับพื้นที่บริเวณบ้านของลุงพล  โดยให้ผู้ใหญ่บ้านกกกอก ใช้เครื่องขยายเสียงในการเรียกลุงพล ออกมาพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ก็ไร้เสียงตอบรับ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินเข้าไปบริเวณด้านหลังบ้านของลุงพลและได้มีการเจรจากันประมาณ 10 นาที ก่อนจะเดินมาบริเวณด้านหน้าของบ้านและได้มีลูกชายของลุงพลเป็นคนเปิดประตูบ้านให้ หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปตรวจค้นภายในบ้านโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็พบว่า ลุงพล ได้หลบหนีไปแล้ว ซึ่งต่อมาได้เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร เพื่อเข้าพบพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) 



          นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ควบคุมตัวนายอ๋อ ซึ่งเป็นยูทูบเบอร์คนสนิทของลุงพล พร้อมแจ้งข้อหา ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ



          ส่วนที่กรุงเทพฯ ลุงพล ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.สุวัฒน์ ที่ห้องทำงาน ผบ.ตร. โดยใช้เวลาสอบสวน 30 นาที โดยมีพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เข้ารอรับตัวลุงพลไปแจ้งข้อกล่าวหาที่ สน.ปทุมวัน โดยมีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ เข้าร่วมรับฟังด้วย





          จากนั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แถลงยืนยันว่า คดีนี้ทำตามพยานหลักฐาน รวบรวมแล้วไปขอหมาย ก็ต้องดำเนินการตามนั้น ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม จริงๆ หลักฐานมีการพูดกันเยอะแล้ว ถ้าไม่มี พยานหลักฐาน ตำรวจขอหมายไม่ได้ และตำรวจจะขอหมายตามพยานหลักฐานเท่านั้น ข้อหาก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่มี



          ผบ.ตร. ย้ำถึง 3 ข้อหาหลักๆ ที่แจ้งเอาผิด’ลุงพล’คือ



-ฐานความผิด พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร



-ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และ



-กระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป  



         ส่วนชั้นเชิงตามคำแนะนำของทนายความ ที่ให้ลุงพลเข้ามาพบผบ.ตร.ในวันนี้นั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ ระบุว่า การเข้าพบในวันนี้ ไม่ใช่เป็นการมอบตัว เพราะการมอบตัว ผู้ต้องหาจะต้องไปในพื้นที่ที่ศาล ออกหมายจับ แต่เมื่อมาถึงที่นี่ เมื่อพนักงานสอบสวนเจอผู้ต้องหา ต้องจับกุมตัว ส่วนจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ อยู่ที่การพิจารณาของพนักงานสอบสวน  



          หลังจากนี้จะได้ส่งไปที่ สภ.กกตูม พนักงานสอบสวนก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย ซึ่งเรามีเวลาในการควบคุมตัว 48 ชม. ซึ่งเราต้องทำให้เร็วที่สุด เนื่องจากมีเวลาไม่มาก



          เบื้องต้นมีการออกหมายจับเพียง ‘ลุงพล’ 1 คน แต่หากมีมากกว่านั้น จะได้ออกหมายจับต่อไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานกันมาตลอด



          ผบ.ตร.ยังได้ฝากถึงครอบครัวแม่น้องชมพู่ ทีมตำรวจเรารับปากไว้ว่าจะทำให้ดีที่สุดซึ่งเราก็ทำตามสัญญา แต่มันยังไม่จบ เราก็จะทำต่อไป เรารวบรวมทุกอย่างทั้งพยานแวดล้อม ประจักษ์พยาน พยานมนุษย์ หลักนิติวิทยาศาสตร์ หลักพฤติกรรมศาสตร์ กระทั่งไสยศาสตร์ เรารวบรวมมาหมด ส่วนรายละเอียดจะได้ปรึกษาทีมสืบสวนสอบสวน หากมีความจำเป็นพอจะได้มีการแถลง ซึ่งอาจจะเป็นพรุ่งนี้



          มีรายงานว่า หลังจากการแจ้งข้อกล่าวหานายไชย์พลแล้ว ตำรวจได้นำตัวนายไชย์พลขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปยัง สภ.กกตูม  จ.มุกดาหาร ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ



          ย้อนดูการสอบสวนของตำรวจที่กว่าจะหาหลักฐานแห่งพฤติการณ์ มัดลุงพล จนออกหมายจับในวันนี้ พบว่า ในวันที่ น้องชมพู่ หายไป มี “น้องสะดิ้ง” พี่สาววัย 14 ปี เห็นเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนพ่อและแม่ของเด็กออกไปทำงานนอกบ้าน



          จากการสอบถามพยานทั่วทั้งหมู่บ้านไม่มีใครพบเห็น ชาวบ้านช่วยกันออกค้นหา และเชื่อว่าเด็กหญิงอายุเพียง 3 ขวบ ไม่มีทางเดินหลงป่าไปไหนได้ไกล บริเวณดังกล่าวสามารถเข้าถึงจุดเกิดเหตุพบศพในอีกหลายวัน โดยแต่ละเส้นทางกว่าจะเข้าไปพบศพน้องชมพู่ได้ในอีกหลายวันต่อมา แต่ละเส้นทางไม่มีใครพบเห็นน้องชมพู่เดินผ่าน มีเพียงเส้นทางเดียวที่ผ่านสวนยางท้ายหมู่บ้าน ซึ่งมีพยานบุคคล 2 คนให้การว่าเห็นลุงพล เดินออกมาช่วงเวลา 09.00 น.เศษ



          ส่วนการสอบสวนอุปนิสัยของน้องชมพู่ หากมีคนแปลกหน้ามาอุ้ม จะร้องโวยวาย แต่ในขณะที่หายตัวไป พยานที่อยู่บริเวณนั้นไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง จึงเชื่อว่าบุคคลที่พาตัวไปต้องเป็นบุคคลรู้จักคุ้นเคย สามารถเข้าถึงตัวได้ ประกอบด้วยบุคคล 10 คน



          จากการตรวจสอบพยานบุคคลและพยานหลักฐานข้อมูลอื่น ในห้วงเกิดเหตุไม่มีบุคคลที่น้องชมพู่ไว้ใจผู้ใดอยู่ใกล้เคียง รวมถึงเส้นทางเข้าไปยังเขาภูเหล็กไฟ เกือบทุกคนสามารถยืนยันถิ่นที่อยู่ให้อย่างชัดเจน นอกจากลุงพลที่ไม่สามารถยืนยันหลักฐานที่อยู่ได้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีพยานบุคคล ระบุว่า พบอยู่ในเส้นทางที่สามารถเข้าไปยังที่เกิดเหตุได้



          หลังจากเด็กหายตัวไป ลุงพล ขับรถไปรับพระวัดภูผาแอก เพื่อไปส่งยังสถานปฏิบัติธรรมอีกจังหวัด และได้พูดคุยกับพระที่เป็นพยานในเวลาต่อมาว่า “หลานหายตัวไป” แต่ข้อเท็จจริง ยังไม่มีใครในละแวกนั้น บอกลุงพลเลยว่า น้องชมพู่ หายตัวไป



         ส่วนการสอบสวนช่วงเวลา14.30-16.00 น. ของวันที่ 11 พ.ค.63 ลุงพลอยู่ที่ไหน แต่ปรากฏว่า ลุงพลบอกไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งกลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า ลุงพลได้พบกับพยาน 2 ปาก บริเวณร่องน้ำบนเขาภูเหล็กไฟ เป็นเส้นทางลงมาจากเขามุ่งหน้ากลับบ้าน ในลักษณะท่าทางมีพิรุธ



          ด้านการตรวจศพของแพทย์นิติเวช รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี สันนิษฐานเวลาตายของเด็ก ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ในขณะที่เด็กถูกทิ้งไว้จุดแรกบริเวณท้ายหมู่บ้านก่อนทางขึ้นภูเหล็กไฟยังมีชีวิตอยู่ ก่อนมีการเคลื่อนย้ายไปบนจุดพบศพ สอดคล้องกับผลตรวจของนักโภชนาการ ระบุ สภาพร่างกายของน้องชมพู่ หากขาดน้ำในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงย่อมถึงแก่ความตายได้โดยไม่ต้องทำร้ายร่างกาย



          นอกจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ของสำนักพิสูจน์หลักฐานจังหวัดมุกดาหารได้เก็บวัตถุพยานหลายอย่าง สำคัญสุดคือเส้นผมของเด็กที่ถูกหั่นจำนวนหลายเส้น วัตถุพยานดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในทันทีที่เจออยู่ในรถของลุงพล และเส้นผมของคนใกล้ชิดไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบศพ ทั้งที่คนใกล้ชิดไม่ได้ขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ



         ซึ่งต่อมา ตรงกับรายงานการตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการใช้รังสีเอกซเรย์จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) สอดรับกับผลการเข้าเครื่องจับเท็จที่สรุปว่า ลุงพลมีพิรุธในการตอบคำถาม



         จากพยานหลักฐานทั้งหมดของคณะทำงานผบ.ตร. มัดลุงพลเท่านั้นที่จะนำตัวน้องชมพู่ไปและมีการทอดทิ้งไว้ในจุดแรก เพื่อกลับมาทำธุระ หาพยานบุคคลอ้างอิงแล้วกลับเข้าไปพาตัวเด็กขึ้นบนเขาภูเหล็กไฟทิ้งไว้ในป่าลึก ที่ไม่มีผู้คนเพื่อให้พ้นไปจากตัวเองเป็นเหตุให้เด็กขาดน้ำ ขาดอาหารถึงแก่ความตาย ก่อนกลับมาจัดฉากอำพรางคดีให้หลงเป็น “เรื่องการฆาตกรรม” ล่วงละเมิดทางเพศด้วยการถอดเสื้อผ้า ถอดรองเท้า ตัดเส้นผมจงใจให้คล้ายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ มนต์ดำของเขมร หวังเบี่ยงไปถึงคู่กรณีขัดแย้งของพ่อเด็ก นำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม เสนอศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับ



 



 

ข่าวทั้งหมด

X