แม่น้องชมพู่ เปิดใจ ลูกได้รับความยุติธรรมแล้ว ด้านทนายตั้ม จะพาลุงพล ไปมอบตัว
วันนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) จะแถลงรายละเอียดของคดีการเสียชีวิตของ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ “น้องชมพู่” อายุ 3 ขวบ ซึ่งหายตัวไปจากบ้านพักในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 63 ก่อนถูกพบเสียชีวิตอยู่บริเวณเขาภูเหล็กไฟ
นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่ กล่าวว่า หลังจากที่ ศาลจังหวัดมุกดาหาร อนุมัติหมายจับกุม นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาว่าน้องชมพู่ได้รับความยุติธรรมแล้ว อยากให้สังคมมองครอบครัวตัวเองใหม่ด้วย ในฐานะที่ตนเคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าลูกตัวเอง อยากขอบคุณ ผบ.ตร. ที่คลี่คลายคดีนี้ แม่น้องชมพู่ ยืนยันจะไม่ยกโทษให้ผู้ก่อเหตุอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
นางสาวิตรี ยอมรับว่ากังวลที่ผู้ต้องหามีทนายความส่วนตัวเป็นทนายฝีมือดี ในส่วนตัว เชื่อว่า หลักฐานที่ตำรวจรวบรวมไว้จะสามารถเอาผิดคนร้ายได้ ส่วนเรื่องการหาทนายส่วนตัวจะต้องปรึกษากับตำรวจและครอบครัวอีกครั้ง
นายไชย์พล ถูกตั้ง 3 ข้อหา คือ
-พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดามารดา เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 มีโทษจำคุก 3-15 ปี ปรับ 60,000 บาท ถึง 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตนโดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแลเป็นเหตุให้เด็กนั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 306 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-กระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนชันสูตรเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ตามประมวลกฎหมายวิอาญามาตรา 150 ทวิ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รายงานระบุว่าหลักฐานในการออกหมายจับครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ของสำนักงานพิสูจน์หลักฐานจังหวัดมุกดาหาร ได้เก็บวัตถุพยานหลายอย่าง สำคัญสุดคือ เส้นผมของน้องชมพู่ ที่ถูกหั่นจำนวนหลายเส้น วัตถุพยานดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานสำคัญในทันทีที่เจออยู่ในรถของนายไชย์พล และเส้นผมของคนใกล้ชิดไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบศพ ทั้งที่คนใกล้ชิดไม่ได้ขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ ตรงกับรายงานการตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการใช้รังสีเอกซเรย์จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) สอดรับกับผลการเข้าเครื่องจับเท็จ ที่สรุปว่า นายไชย์พล มีพิรุธในการตอบคำถาม
พยานหลักฐานทั้งหมดของคณะทำงาน ผบ.ตร. ชี้ได้ว่า นายไชย์พลเท่านั้นจะนำตัวน้องชมพู่ไป และมีการทอดทิ้งไว้ในจุดแรก เพื่อกลับมาทำธุระ หาพยานบุคคลอ้างอิง แล้วกลับเข้าไปพาตัวเด็กขึ้นบนเขาภูเหล็กไฟ ทิ้งไว้ในป่าลึกที่ไม่มีผู้คน เพื่อให้พ้นไปจากตัวเอง เป็นเหตุให้เด็กขาดน้ำ ขาดอาหารถึงแก่ความตาย ก่อนกลับมาจัดฉากอำพรางคดีให้หลงเป็นเรื่องการฆาตกรรมตัดเส้นผมจงใจให้คล้ายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ มนต์ดำของเขมร หวังเบี่ยงไปถึงคู่กรณีขัดแย้งของพ่อเด็ก นำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม เสนอศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับ
ด้านทีมทนายความของนายไชย์พล นำโดยนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้แจ้งผ่านไลน์สั้นๆ ว่าช่วงเช้าวันนี้ เวลา 10.00 น. จะให้สัมภาษณ์และจะพานายไชย์พล ไปมอบตัว เมื่อคืนนี้ นายษิทรา ระบุว่า ต้องดูหลักฐานในการแจ้งข้อกล่าวหาก่อน
ขณะที่ บริเวณหน้าบ้านนายไชย์พล ยังมียูทูบเบอร์ปักหลักถ่ายทอดสด แต่นายไชย์พล ไม่อยู่บ้าน เดินทางกลับไปเยี่ยมพ่อที่บ้านใน อำเภอวานรนิวาส จ.สกลนคร เมื่อเช้านี้ เจ้าหน้าที่นำหมายจับไปที่บ้านนายไชย์พล และควบคุมตัวนายธนากร ทนันไธสง ยูทูบเบอร์ ที่ขัดขวางการปฎิบัติหน้าที่ในวันที่นายไชย์พล เดินทางไปเข้าเครื่องจับเท็จเมื่อเดือน ม.ค.64
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อีก 3 เดือน ตั้งแต่เดือนก.ค.– ก.ย.64 วงเงินรวมไม่เกิน 1,575,495,000 ล้านบาท เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจที่ดีให้กับอสม.ผู้ปฏิบัติงานในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน
อสม.ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค.63-มิ.ย.64 เป็นระยะเวลา 16 เดือน กรอบวงเงินรวม 8,348,696,500 ล้านบาท
การติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ในกทม.กระจุกตัวในพื้นที่ชั้นใน คลองเตยเริ่มฉีดวัคซีนเข็ม 2 แล้ว
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดโรควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โควิด-19 เปิดเผยว่า แนวโน้มดีขึ้นกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาพอสมควร โดยจำนวนเขตที่มีการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อน หรือคลัสเตอร์ลดลง โดยเฉพาะเขตรอบนอกของพื้นที่กรุงเทพฯคลัสเตอร์ส่วนใหญ่ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดจำนวนมากกระจุกตัวบริเวณกรุงเทพฯ ชั้นใน
นางวัลยา วัฒนรัตน์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจจุดคัดกรองหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 และจุดให้บริการฉีดวัคซีน ในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพใต้ ดังนี้
1. จุดตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยสำนักงานเขตสาทร ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์บริการสาธารณสุข 14 แก้ว สีบุญเรือง นำรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน จำนวน 3 คัน ให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยทำการเก็บตัวอย่างด้วยวิธีการตรวจหาเชื้อทางโพรงจมูก (SWAB) แก่ประชาชนที่พักอาศัยในชุมชนหน้าสมาคมธรรมศาสตร์และละแวกใกล้เคียง จำนวน 1,000 คน
2. จุดตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยสำนักงานเขตบางนา ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ นำรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน จำนวน 2 คัน ให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยทำการเก็บตัวอย่างด้วยวิธีการตรวจหาเชื้อทางโพรงจมูก (SWAB) ให้กับคนงานของบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด (มหาชน) ซอยบางนา-ตราด 50 เขตบางนา
3.จุดให้บริการฉีดวัคซีนบริเวณโกดังการท่าเรือแห่งประเทศไทย เมื่อวานนี้ 1 มิ.ย.64 เป็นวันแรกของการให้บริการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในพื้นที่เขตคลองเตยเป็นเข็มที่ 2 โดยได้รับการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ จากสำนักอนามัย สำนักการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สำนักงานเขตกลุ่มกรุงเทพใต้ และการท่าเรือแห่งประเทศไทย จัดเจ้าหน้าที่มาร่วมอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน
CR:กรุงเทพมหานคร
นายกฯ ยืนยัน คำสั่งปลดล็อกของกทม.ต้องผ่านมติของศบค.ก่อน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม เปิดเผยกรณีศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินการติดเชื้อโควิด-19 หรือ ศบค. สั่งชะลอคำสั่งกรุงเทพมหานครที่ปลดล็อกสถานประกอบการ 5 ประเภท ออกไปอีก 14 วันว่าการ
เจอการติดเชื้อกลุ่มใหม่ 55 คน รง.อาหารแช่แข็ง ที่บางบ่อ สมุทรปราการ
หลายพื้นที่ใน จ.สมุทรปราการ ยังพบการติดเชื้อโควิด-19 ล่าสุด พบการติดเชื้อกลุ่มใหม่ ที่อ.บางบ่อ โรงงานอาหารแช่แข็ง พบผู้ป่วยรายใหม่ 55 คน
ส่วนที่โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปจากสัตว์น้ำ เนื้อสัตว์ พบว่าผู้ติดเชื้อเป็นชาวไทยและเมียนมา พบผู้ป่วยรายใหม่ 13 คน ยอดสะสมในคลัสเตอร์ 315 คน นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่เมืองสมุทรปราการ ที่ตลาดสำโรง พบผู้ป่วยรายใหม่ 7 คน ยอดสะสมในคลัสเตอร์ 58 คน
ศบค.แถลงว่า มาตรการที่ออกมาในเรื่องการปิดพื้นที่ หรือ บับเบิ้ลแอนซิล ต้องยึดผลเพื่อการควบคุมโรค บางกรณีอาจเกิดผลทางสังคม เช่น การปิดแคมป์หรือปิดตลาดทำให้แรงงานไม่มีงานทำ และคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงหรือคนที่สัมผัสโรคกระจัดกระจายออกไปได้ ดังนั้นจะเกิดผลกระทบต่อสังคม เพราะถ้าแรงงานกระจายออกไปก็อาจนำพาโรคออกไปยังเขตอื่นๆ ได้ด้วย ดังนั้น ที่ประชุมได้มีการพูดคุยกันว่าให้ใช้การบับเบิลแอนด์ซีล กำหนดพื้นที่หรือขอบเขตให้ชัดเจน เพื่อให้ยังมีการทำงานโดยมีผู้ประกอบการ ภาครัฐและฝ่ายควบคุมโรค ไปติดตามก็จะทำให้เศรษฐกิจเดินไปได้
จากประสบการณ์พบว่าคนที่ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นวัยแรงงาน ส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อยหรือน้อยมากและยังทำงานได้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจตอนนี้เราทราบดีว่าขึ้นอยู่กับภาคอุตสาหกรรมถึงทำให้ขับเคลื่อนได้
กรมการแพทย์ ส่งแรงงานชาวกินี 30 คน ไปรักษาที่รพ.สนามอาคารนิมิบุตร
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัญหาที่พบขณะนี้คือการค้นหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกในกลุ่มแรงงานต่างด้าว และพบว่าผู้ติดเชื้อเป็นแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนไม่สามารถรองรับได้ เพราะไม่สามารถเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ แรงงานผิดกฎหมายกลุ่มนี้ก็ต้องมารักษาในโรงพยาบาลของรัฐ ทำให้กระทบต่อการใช้เตียงไอซียูของโรงพยาบาลรัฐที่ตึงตัวอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังพบว่ามีแรงงานต่างด้าวชาวกินี พูดไทยไม่ได้ พูดอังกฤษก็ไม่คล่อง ประมาณ 30 คน ขณะนี้ต้องให้โรงพยาบาลสนามอาคารนิมิบุตรรับไปดูแลก่อน
ส่วนการนำผู้ป่วยออกจากชุมชนมารักษา ขณะนี้ทำได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ ไม่มีปัญหาแล้ว ช่วยทำให้ระดับผู้ป่วยสีเขียวไม่พัฒนาเป็นสีเหลืองและสีแดง แต่ที่น่ากังวล คือ กลุ่มผู้ป่วยระดับสีแดงซึ่งต้องใช้เตียงไอซียู โดยเฉพาะจำนวนผู้ป่วยเป็นหลักพันในกรุงเทพฯ ก็ทำให้เตียงไอซียูของโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลรัฐของกรมการแพทย์ ค่อนข้างตึง ที่ผ่านมาก็ได้มีการส่งต่อให้กับโรงพยาบาลพลังแผ่นดิน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลไอซียูสนามไปแล้วจำนวน 10 เตียงและสามารถขยายได้ถึง 40 เตียง