การเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่หายตัวจากบ้านในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 ก่อนจะพบเป็นศพอยู่ในป่าบนภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านราว 2 กม. เมื่อวันที่ 14 พ.ค.63 ซึ่งก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่แถลงยืนยันว่า จากการพิสูจน์หลักฐานทางคดี น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนภูเหล็กไฟ จุดที่พบศพได้ด้วยตนเองได้ ทำให้เชื่อว่า มีผู้พาขึ้นไป และทำให้ถึงแก่ความตายทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
มีรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ศาลจังหวัดมุกดาหาร ได้อนุมัติหมายจับนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่”
โดย ลุงพล ถูกแจ้งจับใน 3 ข้อหา ประกอบด้วย
-พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร
-ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย
-กระทำการใดๆแก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
โดยพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จะแถลงรายละเอียดพฤติการณ์ทางคดีอีกครั้งในวันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
มีรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ของสำนักงานพิสูจน์หลักฐานจังหวัดมุกดาหาร ได้เก็บวัตถุพยานหลายอย่าง สำคัญสุดคือ เส้นผมของน้องชมพู่ ที่ถูกหั่นจำนวนหลายเส้น วัตถุพยานดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานสำคัญในทันทีที่เจออยู่ในรถของนายไชย์พล และเส้นผมของคนใกล้ชิดไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบศพ ทั้งที่คนใกล้ชิดไม่ได้ขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟตรงกับรายงานการตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการใช้รังสีเอกซเรย์จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) สอดรับกับผลการเข้าเครื่องจับเท็จ ที่สรุปว่านายไชย์พลมีพิรุธในการตอบคำถาม
พยานหลักฐานทั้งหมดของคณะทำงาน ผบ.ตร. บ่งชี้ได้ว่า นายไชย์พลเท่านั้นจะนำตัวน้องชมพู่ไป และมีการทอดทิ้งไว้ในจุดแรก เพื่อกลับมาทำธุระ หาพยานบุคคลอ้างอิง แล้วกลับเข้าไปพาตัวเด็กขึ้นบนเขาภูเหล็กไฟทิ้งไว้ในป่าลึกที่ไม่มีผู้คน เพื่อให้พ้นไปจากตัวเอง เป็นเหตุให้เด็กขาดน้ำ ขาดอาหารถึงแก่ความตาย ก่อนกลับมาจัดฉากอำพรางคดีให้หลงเป็น “เรื่องการฆาตกรรม” ตัดเส้นผมจงใจให้คล้ายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ มนต์ดำของเขมร