คณะกก.โรคติดต่อกทม.ผ่อนคลายเปิดพิพิธภัณฑ์-สวนสาธารณะ และ สถานประกอบการ 5 ประเภท มีผล 1 มิ.ย.
ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 15/2564 ประชุมเพื่อพิจารณาผ่อนปรนมาตรการสำหรับสถานประกอบการ เนื่องจาก ในขณะนี้พบว่าคลัสเตอร์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่กรุงเทพมหานครส่วนใหญ่พบในชุมชน ตลาด แคมป์คนงาน ซึ่งอยู่ระหว่างการเข้าควบคุมโรค และสถานการณ์การระบาดยังคงทรงตัวอยู่ในคลัสเตอร์เฉพาะกลุ่มดังกล่าว ในส่วนของสถานประกอบการบางประเภทไม่พบคลัสเตอร์การระบาด ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ผ่อนปรนเปิดสถานประกอบการบางประเภทเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของภาคธุรกิจ และให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้ ภายใต้มาตรการของรัฐที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
สถานประกอบการที่ได้รับการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการให้เปิดได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.64 เป็นต้นไป มีดังนี้
1. พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์สถาน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมถึงพิพิธภัณฑ์ในลักษณะทำนองเดียวกัน ศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ อุทยานวิทยาศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แหล่งประวัติศาสตร์โบราณสถาน และหอศิลป์ ทั้งนี้ให้เปิดได้ภายใต้มาตรการที่เข้มงวด เช่น ห้ามเข้าเยี่ยมชมเป็นกลุ่มคณะที่มีการรวมตัวกันจำนวนมาก
2.สถานที่สักหรือเจาะผิวหนังหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ร้านทำเล็บ ทั้งนี้ให้เปิดได้ภายใต้มาตรการที่เข้มงวด เช่น หากพบการติดเชื้อในสถานบริการจำพวกนี้ ให้ปิด 14 วัน
3. สถานที่ให้บริการควบคุมน้ำหนัก คลินิกเสริมความงาม สถานเสริมความงาม และคลินิกเวชกรรมเสริมความงาม
4. สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ร้านสปา ร้านนวดเพื่อสุขภาพ ร้านนวดเพื่อเสริมความงาม) สถานประกอบการนวดแผนไทย(งดเว้น การอบตัว อบสมุนไพร หรืออบไอน้ำ และการนวดบริเวณใบหน้า) นวดฝ่าเท้า
5. สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ และสวนดอกไม้ ให้เปิดได้ภายใต้มาตรการที่เข้มงวด เช่น ห้ามไม่ให้มีการนั่งรวมกลุ่มและไม่ให้นำอาหารเข้ามารับประทาน ยกเว้นน้ำดื่ม
สำหรับสถานประกอบการประเภทอื่นๆ ยังคงให้ปิดตามประกาศปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่29) ต่อไปจนถึงวันที่ 14 มิ.ย.64
ศธ.สั่งโรงเรียนในสังกัด คืนเงินค่าเทอม หลังเรียนที่บ้าน
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด- 19 ทำให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาในสังกัดและในกำกับของ ศธ.จัดการเรียนการสอนเฉพาะรูปแบบการจัดการศึกษาทางไกล โดยบางโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่มีความพร้อมและประสงค์จะจัดการศึกษาในรูปแบบ On Site หรือ เรียนที่โรงเรียน ได้จะต้องผ่านเกณฑ์การประเมินความพร้อมของระบบ Thai StopCOVID Plus (TSC+) และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดก่อน น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า การปรับรูปแบบการเรียนดังกล่าวทำให้มีผู้ปกครองร้องเรียนเรื่องการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ของสถานศึกษาจำนวนมาก หลังจากนั้น ได้แก้ไขปัญหา โดยเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ได้ลงนามในประกาศ ศธ. เรื่อง แนวปฏิบัติการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครอง
สำหรับแนวปฏิบัติการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น ที่ให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาในสังกัดหรือในกำกับของ ศธ. ถือปฏิบัติ มีดังนี้
1.ในกรณีที่ได้มีการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียม การเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นไปแล้ว ให้คืนเงินบำรุงการศึกษาหรือค่าธรรมเนียมดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนนั้นในระหว่างที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
2.ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษาค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น เพื่อใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน อาจพิจารณาผ่อนผันหรือขยายระยะเวลาการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษา หรือ ค่าธรรมเนียมดังกล่าวตามความเหมาะสมเป็นกรณีไป
3.พิจารณาให้ความช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ปกครองของนักเรียน นักศึกษา ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวตามความจำเป็นเหมาะสม
4.ให้หน่วยงานต้นสังกัดหรือที่กำกับโรงเรียนหรือสถานศึกษา แจ้งเวียนไปยังสถานศึกษาในสังกัด หรือ ในกำกับให้ปฏิบัติตามประกาศนี้ ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
นายกฯ กำชับ ก.แรงงาน ตรวจเชื้อเชิงรุกสถานประกอบการ-แคมป์คนงาน ปทุมฯ และ นนทบุรี
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในแคมป์คนงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าวจึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงาน บูรณาการกับกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ดำเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการและแคมป์คนงานในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีและนนทบุรี เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
นายสุชาติ กล่าวว่า จังหวัดปทุมธานี เริ่มตรวจโควิด – 19 เชิงรุกในสถานประกอบการ เริ่มตั้งแต่วันนี้ (31 พ.ค.64) จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท ไทสัน ลูกจ้างจำนวน 1,948 คน บริษัทโชคชัย เอ็นจิเนียริ่ง ลูกจ้างจำนวน 825 คน และ บริษัทเคลแมกซ์ แมซินเนอรี่ ลูกจ้างจำนวน 136 คน โดยมีโรงพยาบาลการุญเวช ปทุมธานี โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม เป็นผู้ดำเนินการตรวจ
ด้านจังหวัดนนทบุรี มีแผนดำเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการระยะที่ 2
เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. – 30 มิ.ย.64 เป้าหมายสถานประกอบการจำนวน 160 แห่ง ลูกจ้าง 11,140 คน และตรวจโควิด-19 เชิงรุกในแคมป์คนงาน อีกจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท ชิโนทัย ลูกจ้างจำนวน 759 คน และบริษัท นวรัตน์ พัฒนาการ ลูกจ้างจำนวน 454 คน โดยมีโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นเนล โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม เป็นผู้ดำเนินการตรวจกรณีตรวจพบเชื้อจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ซึ่งมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ การตรวจโควิด-19 เชิงรุกดังกล่าวจะเป็นการชะลอการแพร่กระจายของเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาดในช่วงที่รอการฉีดวัคซีนให้แก่แรงงานในสถานประกอบการอีกด้วย
ปลัดสธ.รับ ต้องปรับคุมติดเชื้อโควิด-19 จ.เพชรบุรี หลังยอดติดเชื้อยังสูง 7 มิ.ย.มีวัคซีนฉีดแน่นอน
ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19รายวันของประเทศไทย วันนี้แตะระดับกว่า 5 พันคน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ยอดผู้ติดเชื้อวันนี้ของประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ปิด เช่น เรือนจำ โรงงาน ส่วนเพชรบุรีที่มีการติดเชื้อมากอาจยังควบคุมได้ไม่ดี ซึ่งจะลงไปจัดการควบคุมโรคให้ได้ ส่วนจำนวนเตียง และเวชภัณฑ์ยังมีเพียงพอ ทั้งนี้ การควบคุมโรคต้องอาศัยวัคซีนด้วย โดยยืนยันว่า วันที่ 7 มิ.ย.64มีวัคซีนฉีดแน่นอน ทั้งแอสตราเซเนกาและซิโนแวค
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า วัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกา ยืนยันว่า จะส่งวัคซีนให้ตามกำหนดภายในมิ.ย. โดยจะทยอยส่งมา และจัดฉีดวัคซีนตามจำนวนที่มี และย้ำว่า ภายในวันที่ 30 ก.ย. 64 เข็มที่ 1 ให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากรตามกำหนด สำหรับการกระจายวัคซีนเป็นการพิจารณาของ ศบค. ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะพิจารณาเป็นคนสุดท้าย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะส่งวัคซีนไปพื้นที่ต่างๆ ตาม ศบค.กำหนด
ในวันนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบสิ่งของบริจาคเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานควบคุมโรคโควิด-19 พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ต่ำ เพราะมีเตียงรองรับการรักษาและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีมาดูแลผู้ป่วย อย่าง รพ.บุษราคัม ใช้เทคโนโลยีใหม่มาดูแล คนไข้ใส่เครื่องช่วยหายใจด้วยตัวเอง ช่วยติดตามอาการได้แบบเรียลไทม์ ทำให้รักษาดูแลได้ทันหากอาการเปลี่ยน ซึ่งภาคเอกชนได้เข้ามาสนับสนุนหลายเรื่องให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ