ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ เวลา 19.30 น.ประจำวันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564
นนทบุรีติดเชื้อรวม 698 คน
สถานการณ์โควิด-19 ในจังหวัดนนทบุรี ล่าสุด ศูนย์โควิด-19 นนทบุรี รายงานประจำวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 จำนวน 612 คน (ไม่รวมแคมป์คนงาน = 86 คน) สาเหตุติดเชื้อส่วนใหญ่ภายในแคมป์คนงาน ครอบครัว และ ตลาดสด แบ่งเป็นเพศหญิง 37 คน เพศชาย 453 คน เป็นต่างชาติ 500 คน (พม่า 282 คน ลาว 7 คน กัมพูชา 211 คน)
ตามภูมิลำเนา
-อำเภอเมือง 553 คน แยกเป็นจาก แคมป์คนงาน 526 คน
-อำเภอบางใหญ่ 26 คน
-อำเภอบางบัวทอง 16 คน
-อำเภอบางกรวย 8 คน
-อำเภอปากเกร็ด 6 คน
-อำเภอไทรน้อย 3 คน
มีอาการ 23 ราย คิดเป็น 27 %
ไม่มีอาการ 63 ราย คิดเป็น 73 %
(ไม่รวมแคมป์คนงาน)
ความสัมพันธ์ ส่วนใหญ่พบใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยัน
1. ค้าขาย 29 คน(ขายผัก 13 คน อื่นๆ 16คน)
ปากคลองตลาด 2 คน, ตลาดนนทบุรี 3 คน , ตลาดศาลาน้ำร้อน, ตลาดบางใหญ่, ตลาดแสงจันทร์
2. เจ้าหน้าที่เรือนจำ 2 คน
3. ผู้สัมผัสใกล้ชิดในสถานที่กักตัว (LQ) 11 คน
สมุทรปราการ พบติดเชื้อเพิ่ม 126 คน
กลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ประจำวัน ณ เวลา 13.00 น. ระบุว่า พบผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 126 คนแบ่งเป็นผู้ป่วยในพื้นที่ จำนวน 106 คน และรับมารักษาต่อในจังหวัดสมุทรปราการ 20 คน
ผู้ป่วยในพื้นที่ จำนวน 106 คน
-เมือง 68 คน
-บางพลี 8 คน
-พระประแดง 12 คน
-พระสมุทรเจดีย์ 2 คน
-บางบ่อ 2 คน
-บางเสาธง 14 คน
หมอมนูญ แนะ ฉีดแอสตราเซเนกาก่อน 1 เข็ม
การปรับลดโดสการฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC" ระบุว่า "ผมตั้งคำถามบริษัทแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ว่าทำไมไม่ปรับลดโดสการฉีดวัคซีนให้เหลือเข็มเดียว สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาในภาวะที่มีวัคซีนไม่เพียงพอ" วัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกาใช้เทคโนโลยีอะดีโนไวรัส (Adenovirus) เป็นพาหะนำรหัสพันธุกรรม (DNA) ของไวรัสโควิด-19 เข้าสู่ร่างกายเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อโปรตีนส่วนที่เป็นหนามของเชื้อไวรัส เหมือนกับเทคโนโลยีวัคซีนของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอหน์สัน (Johnson & Johnson) ประเทศสหรัฐอเมริกา วัคซีนสปุตนิก (Sputnik) ของประเทศรัสเซีย และวัคซีนแคนซิโน (Cansino) ของประเทศจีน ที่ให้โด๊สเข็มเดียวจบ ไม่ต้องให้เข็มสองดังที่บริษัทแอสตราเซเนกากำหนดไว้
ข้อแตกต่างของวัคซีนแอสตราเซเนกาคือ ใช้อะดีโนไวรัสของลิงชิมแปนซีแทนที่จะใช้อะดิโนไวรัสของคนเหมือนบริษัทอื่น" ประสิทธิภาพของวัคซีนแอสตราเซเนกาหลังฉีดเข็มแรกดีพอๆกับวัคซีนของบริษัทอื่นที่ให้ฉีดเพียงเข็มเดียว มีการศึกษาในคนไทย พบภูมิคุ้มกันขึ้นสูงมากหลังฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาโดสแรก 4 สัปดาห์
วัคซีนสปุตนิกของรัสเซียเดิมให้ 2 เข็ม ต่อมาปรับลดลงเหลือ 1 เข็มเพื่อจะได้ฉีดให้คนมากขึ้น เป็นความคิดที่ถูกต้องสำหรับประเทศที่ขาดแคลนวัคซีน ล่าสุดวัคซีนแคน ซิโนของจีนประกาศให้เข็มเดียวพอเหตุผลที่บริษัทแอสตราเซเนกาให้เข็ม 2 เพื่อกระตุ้นให้มีภูมิคุ้มกันนานขึ้น แต่ในภาวะที่มีไวรัสกลายพันธุ์หลายชนิดที่สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกาเข็มแรก ยังไงเราต้องให้เข็มถัดไปที่เป็นวัคซีนรุ่นใหม่ที่ทั้งกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และสามารถครอบคลุมเชื้อไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ และบราซิลในต้นปีหน้า
ประโยชน์ของการให้วัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มเดียวทำให้มีวัคซีนมากขึ้นสามารถฉีดจำนวนคนได้มากขึ้นเท่าตัว เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ หยุดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เร็วขึ้น "ถึงเวลาแล้วที่บริษัทแอสตราเซเนกานาจะปรับคำแนะนำให้ประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาลดเหลือ 1 เข็ม เหมือนวัคซีนทุกบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน
สปุตนิกวี รับมือไวรัสกลายพันธุ์ บราซิลได้
กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของรัสเซีย (RDIF) และผลการศึกษาจากนักวิจัยในอาร์เจนตินา เปิดเผยว่า วัคซีนโควิด-19 "สปุตนิก วี" ของรัสเซีย มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันและต่อต้านไวรัสชนิดกลายพันธุ์ ที่พบครั้งแรกในบราซิล กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของรัสเซียระบุในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ (24 พ.ค.) ว่า ผลการศึกษายืนยันว่าร่างกายของผู้ฉีดวัคซีนสปุตนิกวี สามารถพัฒนาภูมิคุ้มกันต้านเชื้อโควิดสายพันธุ์บราซิลได้ หลังฉีดวัคซีนครบสองโดส หรือตั้งแต่ฉีดวัคซีนโดสแรก ผู้ได้รับวัคซีนสปุตนิกวี สามารถสร้างแอนติบอดีต้านเชื้อโควิดสายพันธุ์บราซิลได้ถึง 85% หลังฉีดวัคซีนโดสแรก 14 วันและอัตราดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นเป็นเกือบ 100% หลังได้รับวัคซีนครบสองโดส 42 วัน
ไต้หวันเพิ่มมาตรการควบคุมโควิด-19 ต่อ คะแนนนิยมผู้นำตกต่ำ
นายเฉิน ชีห์-ชุง รัฐมนตรีสาธารณสุขของไต้หวันในฐานะประธานศูนย์ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (CECC)ของไต้หวัน เปิดเผยว่า CECC ตัดสินใจให้ขยายการบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคระดับ 3 ต่อไปอีก 3 สัปดาห์ จนถึงวันที่ 14 มิถุนายนนี้ จากเดิมที่ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10-28 พฤษภาคมนี้ นับเป็นการยกระดับการควบคุมโรคขั้นสูงที่สุดจากทั้งหมด 4 ระดับ นับตั้งแต่โรคโควิด-19 ระบาดในไต้หวันเมื่อต้นปีก่อน
มาตรการควบคุมโรคระดับที่ 3 มีผลบังคับคือให้ประชาชนทุกคนทั่วทั้งเกาะไต้หวันต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่ในสถานที่สาธารณะและห้ามรวมกลุ่มในอาคารสาธารณะเกิน 5 คน ห้ามรวมกลุ่มนอกอาคารสาธารณะเกิน 10 คน ให้ปิดห้างร้าน พร้อมทั้งให้โรงเรียนทุกแห่งจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ภายในระเวลาดังกล่าวแทนการเข้าชั้นเรียนปกติ
สำหรับคนที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะจะถูกปรับ ระหว่าง 3,000-15,000 นิวดอลลาร์ไต้หวัน ส่วนผู้ละเมิดมาตรการห้ามรวมกลุ่มในอาคารหรือนอกอาคารสาธารณะ หรือเปิดห้างร้านโดยฝ่าฝืนคำสั่งนี้จะถูกปรับระหว่าง 60,000-300,000 นิวดอลลาร์ไต้หวัน
ส่วนเรื่องวัคซีน นายเฉินคาดว่าไต้หวันจะได้รับมอบวัคซีนอีก 2 ล้านโดสในเดือนหน้า แต่เขาไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่าเป็นวัคซีนจากบริษัทใด
ทั้งนี้ ไต้หวันพบผู้ป่วยใหม่ 281 คนในวันนี้ ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยสะสมของไต้หวันอยู่ที่ 5,456 คน เสียชีวิต 35 ราย
ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในไต้หวันเผยแพร่วันนี้ว่า คะแนนนิยมของประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินร่วงลงสู่ระดับต่ำสุด ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไต้หวันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ผลสำรวจดังกล่าวจัดทำโดยมูลนิธิสำรวจความคิดเห็นสาธารณชนของไต้หวัน (Taiwanese Public Opinion Foundation) ระบุว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 45.7% พอใจกับวิธีการรับมือสถานการณ์เร่งด่วนของปธน.ไช่ อย่างไรก็ดี คะแนนดังกล่าวลดลงจากระดับ 54.4% เมื่อเดือนเม.ย. และเป็นระดับต่ำสุดระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของนางไช่
คะแนนนิยมของปธน.ไช่เคยพุ่งสูงสุดถึง 71.2% เมื่อเดือนพ.ค.ปีที่แล้วซึ่งเป็นช่วงที่เธอเพิ่งรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ด้านหยู หยิงลุง ประธานมูลนิธิแสดงความเห็นเกี่ยวกับคะแนนความนิยมของปธน.ไช่ ที่ร่วงลงว่าเป็นเหมือนสัญญาณเตือนที่น่าหนักใจ และให้เหตุผลว่าเป็นเพราะความล้มเหลวที่เกิดจากปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะเมื่อมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่าน มา
ฮ่องกง เผยอาจทิ้งวัคซีนที่หมดอายุหลายล้านโดส
คณะทำงานที่รับผิดชอบการกระจายวัคซีนของฮ่องกง เปิดเผยว่า ฮ่องกงอาจจะทิ้งวัคซีนจากไฟเซอร์หลายล้านโดสที่ใกล้จะหมดอายุใน 3 เดือนข้างหน้า อีกทั้งในปัจจุบันเริ่มมีประชาชนมาลงทะเบียนฉีดวัคซีนน้อยลงกว่าเดิม วัคซีนทุกตัวมีวันหมดอายุ หลังหมดอายุในเดือนกันยายนนี้ เจ้าหน้าที่ สาธารณสุขของฮ่องกงจะต้องหยุดใช้วัคซีนทันที ทั้งนี้ ฮ่องกง เป็นหนึ่งในไม่กี่อาณาเขตในโลกที่สามารถ จัดซื้อวัคซีนมาสำรองไว้ในปริมาณมากเกินจำนวนประชากรทั้งหมด 7.5 ล้านคน รวมทั้งซื้อวัคซีน 7.5 ล้านโดสจากไฟเซอร์และวัคซีนอีก 7.5 ล้านโดสจากซิโนแวคของจีน แต่การที่ประชาชนบางกลุ่ม เช่น ผู้ประท้วง ไม่เชื่อมั่นหรือเคลือบแคลงใจต่อนโยบายการบริหารของรัฐบาลฮ่องกงที่ยังคงเดินหน้าปราบปรามการเรียกร้องประชาธิปไตยทำให้หลายคนรู้สึกลังเลใจ ไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการรับวัคซีน ทำให้โครงการวัคซีนของฮ่องกงไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
ด้านนายโทมัส ซาง อดีตผู้บริหารของสำนักงานคุ้มครองอนามัยของฮ่องกง ทักท้วงว่า เป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่ฮ่องกงสั่งซื้อวัคซีนจำนวนมากมาเก็บโดยไม่ได้ใช้ ปล่อยทิ้งไว้หมดอายุ ขณะที่ หลายประเทศ พยายามจะจัดซื้อวัคซีน แต่จนถึงบัดนี้พวกเขายังไม่ได้รับการส่งมอบวัคซีน เนื่องจาก มีผู้สั่งซื้อจำนวนมาก
รองนายกฯ รับ มีเงินเยียวยา มั่นใจคุมโควิดได้ใน 2สัปดาห์
นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน มั่นใจว่า การควบคุมสถานการณ์โควิด-19รัฐบาลจะสามารถควบคุมได้ภายใน 2 สัปดาห์ เนื่องจากในขณะนี้แม้จะมีผู้ที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแต่จำนวนของผู้ที่รักษาหายก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวันเช่นกัน ซึ่งขอให้ประชาชนยังคงเชื่อมั่นว่ารัฐบาลดูแลสถานการณ์ตรงนี้ได้
ส่วนแผนการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาจะยังคงเป็นไปตามแผนเดิมหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ ระบุว่า ก็ยังเป็นไปตามแผนเดิมคือในเดือน ก.ค.จะเปิดบางส่วน บางพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวที่รับการฉีดวัคซีนแล้วเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ ส่วนการปรับลดประมาณการรายได้การท่องเที่ยวก็คงต้องเป็นไปตามนั้น แต่ก็ยังมั่นใจว่าประชาชนคนไทยจะยังท่องเที่ยวกันเอง และจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นเพราะมีกลุ่มคนที่มีเงินเก็บออมในปีที่ผ่านมาก็มีการออมเงินกันเพิ่มขึ้นถึง 3 - 4 แสนล้านบาท
ผู้สื่อข่าวถามว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยหมดโอกาสที่จะขยายตัวถึง 4% แล้วใช่หรือไม่รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ยังคาดหวังว่า ถ้าประชาชนออกมาช่วยกันจับจ่ายใช้สอยกันมาก โดยเฉพาะผู้มีเงินออมซึ่งในเดือน พ.ค.ได้เตรียมมาตรการเอาไว้แล้วในการให้คนเอาเงินออมออกมาใช้ โดยรัฐบาลสนับสนุนมาตรการบางส่วน รวมทั้งมาตรการเยียวยาก็ได้เตรียมไว้แล้วจะประกาศให้ทราบในเดือน พ.ค.และมีผลบังคับใช้ในเดือน มิ.ย.นี้
สบน. คาดปีงบ64 กู้เงิน พ.ร.ก.เพิ่ม 1 แสนล้าน หนี้สาธารณะพุ่งไม่เกิน 60%
แนวทางกู้เงินตามพ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า การกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 (พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท) นั้น จะเป็นการทยอยกู้ แบ่งการกู้ตามความจำเป็น และแผนเบิกจ่ายจริง เหมือนกับพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ที่จะทยอยกู้เงินตามโครงการที่ได้รับการอนุมัติ คาดว่าปีงบประมาณ 2564 จะมีการกู้เงินในพ.ร.ก.ดังกล่าวไม่เกิน 1 แสนล้านบาท แต่ขึ้นอยู่กับความจำเป็นว่าโครงการที่จะเกิดขึ้นช่วงครึ่งปีหลังด้วย
ปัจจุบันเรายังบริหารหนี้ให้อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง ซึ่งเงินที่ลดไปสามารถพัฒนาประเทศ ทำให้จีดีพีขยายตัวได้ หนี้สาธารณะอาจจะมีไปแตะใกล้ๆ กรอบบ้าง หรือเกินกรอบหนี้สาธารณะที่ระบุไว้ 60% บ้าง แต่ถ้าทำให้เศรษฐกิจขยายตัวก็จะทำให้ระดับหนี้สาธารณะกลับลงมาได้ ฉะนั้น ขอย้ำเน้นว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้งหลาย ยังมีมุมมองที่ดีต่อความแข็งแกร่งทางด้านการคลังของประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมานโยบายการคลังของรัฐบาล ได้ดำเนินการรอบคอบ รัดกุม
ส่วนหากมีการกู้เงินเต็มกรอบ พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท จะส่งผลให้ภาระหนี้ในปีงบประมาณ 2565 เป็นอย่างไรนั้น ขณะนี้ สบน.อยู่ระหว่างการทบทวนแผนหนี้ปีงบประมาณ 2565 ทั้งหมด เนื่องจากที่ผ่านมามีแผนหนี้ที่เข้ามาและไม่สามารถทำได้ค่อนข้างเยอะ จึงขอเวลาทบทวนแผนหนี้ปี 2565 ให้ชัดเจน เพื่อพิจารณาแผนหนี้ที่สอดคล้องกับสภาพจริง ซึ่งคาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะจะใกล้เคียงหรือแตะกรอบที่กำหนดไว้ 60% ต่อจีดีพี
เปิดประเทศไหนที่ก่อหนี้สาธารณะมากที่สุดในโลก
สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) เปิดเผยว่า หนี้สินทั่วโลกในไตรมาสแรกของปี 2021 ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส โดยลดลง 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯเหลือ 289 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามหนี้สินทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นราว 12% นับตั้งแต่ปี 2019 เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย IIF เผยว่าในปี 2020 หนี้สินทั่วโลกเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดย World Population Review ได้จัดอันดับประเทศที่มีหนี้สิน (National Debt) มากที่สุดในโลก ดังนี้
อันดับที่ 1: ประเทศญี่ปุ่น (ประชากรประมาณ 126 ล้านคน) มีหนี้สินของประเทศสูงที่สุดในโลกด้วยอัตรา 234.18% ของ GDP
แม้ว่าจะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯและจีนแต่ด้วยวิกฤตทางการเงินและภัยพิบัติในประเทศหลายประการรวมถึงแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ในปี 2011 ซึ่งสร้างความเสียหายมูลค่าราว 325,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ขณะนี้ญี่ปุ่นมีหนี้อยู่ที่ 9.087 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของญี่ปุ่นสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากภาวะถดถอยที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
อันดับที่ 2: ประเทศเวเนซุเอลา (ประชากรประมาณ 28.7 ล้านคน) ด้วยอัตราหนี้สินของประเทศ 214.45% ของ GDP
หนี้ของเวเนซุเอลาพุ่งขึ้นในช่วงปี 2018 เนื่องจากในขณะนั้นเวเนซุเอลาประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักจนหนี้ต่างประเทศพุ่งแตะ 150,000 เหรียญสหรัฐฯ รวมถึงประสบภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ขณะที่ประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
อันดับที่ 3: ประเทศซูดาน (ประชากรประมาณ 42.8 ล้านคน) ด้วยอัตราหนี้สินของประเทศ 177.87% ของ GDP
สำหรับประเทศไทย World Population Review ได้จัดไว้เป็นอันดับที่ 120 ด้วยอัตราหนี้สินของประเทศอยู่ที่ 41.47% ของ GDP
ส่งออกเมษาบวก13% สูงสุดรอบ3ปี จับมือเอกชนลุยเปิดตลาดรัสเซีย
ภาวการณ์ส่งออก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกขณะนี้ถือว่าดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะปี 2564 ตัวเลขเดือนมกราคมเป็นบวก เดือนมีนาคมบวกถึง 8.47% โดยเฉพาะเดือนเมษายนนี้บวกถึง 13.09 % ซึ่งถือว่าเป็นบวกสูงสุดในรอบ 3 ปี เกิดจากความร่วมมือในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน สามารถแก้ไขได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการเร่งเปิดด่าน เพื่อเร่งการค้าชายแดนที่มีผลต่อตัวเลขการส่งออก รวมทั้งการแก้ปัญหาอุปสรรคในด่านที่จะส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญทางบก เช่น ประเทศจีนบริเวณด่านเวียดนามกับจีน เช่น ด่านโหย่วอี้กวน ด่านตงซิงและด่านอื่นๆ รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งขณะนี้เรือขนาดใหญ่ 400 เมตรสามารถนำตู้คอนเทนเนอร์ที่เป็นตู้เปล่ามาเทียบท่าที่แหลมฉบังได้แล้ว วันพรุ่งนี้จะเป็นลำที่ 2 สามารถนำตู้เปล่าเข้ามาได้เป็นจำนวนมาก นับเป็นตัวอย่างที่เห็นถึงการทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนมีผลทำให้ตัวเลขการส่งออกดีขึ้น
ส่วนเรื่องเป้าส่งออกที่ 4% สำหรับปี 2564 นั้น ยังไม่จำเป็นต้องปรับเป้า โดยได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศและกรมการค้าต่างประเทศ จับมือกับภาคเอกชนดำเนินการเปิดตลาดใหม่ เช่น ตลาดรัสเซีย ตลาดตะวันออกกลาง รวมทั้งเร่งทำเอฟทีเอกับประเทศคู่ค้าสำคัญ เพื่อเพิ่มตัวเลขการส่งออกทั้งเอฟทีเอไทย-อียู ไทย-สหราชอาณาจักร หรือกับประเทศอื่นๆ รวมทั้งเร่งรัด”มินิ เอฟทีเอ”กับมณฑลไห่หนานของจีน รัฐเตลังกานาของอินเดีย และพื้นที่อื่นๆต่อไปเพราะขณะนี้การส่งออกถือเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศจะเรียกว่าเป็นพระเอกก็ได้ เพราะเป็นเครื่องยนต์เดียวที่มีผลเป็นรูปธรรมที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและจะมีผลในการทำให้จีดีพีของไทยในปี 2564 เป็นบวกได้
หุ้นไทย ปิดบวก 16.73 จุด
หุ้นไทยวันนี้ ปรับขึ้นในแดนบวกตลอดทั้งวัน หลังนักลงทุนคลายความกังวลประเด็นเงินเฟ้อสหรัฐฯ เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ที่ยังปรับตัวลง และความหวังด้านวัคซีนโควิด-19 จากไฟเซอร์ที่จะส่งมอบชุดแรก 10 ล้านโดส ให้กับรัฐบาลไทย ภายในเดือน ก.ค.นี้ ส่งผลให้ดัชนีปิดที่1,568.58 จุดเพิ่มขึ้น 16.73 จุด มูลค่า 88,951.30 ล้านบาท บล.กสิกรไทย คาดว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ตลอดจนการควบคุมสถานการณ์การระบาดและการกระจายวัคซีนในประเทศและต่างประเทศ แนวโน้มราคาน้ำมันดิบ, แนวโน้มค่าเงินบาท, การเมืองภายในประเทศ รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1 ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อ
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดวันนี้ปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อที่แข็งแกร่งในหุ้นกลุ่มไฮเทค แต่การปรับตัวขึ้นได้ถูกจำกัดจากความวิตกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นจะขยายภาวะฉุกเฉินนานขึ้นเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ปิดวันนี้ที่ระดับ 28,553.98 จุด เพิ่มขึ้น 189.37 จุด
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะยังคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป ปิดที่ 28,910.86 จุด เพิ่มขึ้น 498.60 จุด
นายกฯ กำชับ ครม.อย่าปากไว ให้ชัดเจนก่อนค่อยพูด
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ วันที่ 25 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เน้นย้ำเรื่องของการสื่อสารและประชาสัมพันธ์เป็นพิเศษ ซึ่งเป็นการเน้นย้ำเรื่องนี้มาหลายสัปดาห์ติดต่อกันแล้ว โดยเฉพาะกรณีถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการให้ข้อมูลที่สับสนเกี่ยวกับการแก้ไขโควิด-19 และการกระจายวัคซีนโดยกำชับให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลมากขึ้นว่า ไม่ต้องเร่งรีบ ให้ชัดเจนก่อน รอ 2-3 วันก็ได้ เพราะถ้าพูดไปแล้วคนจะมีความคาดหวัง มีผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้ฝ่ายนโยบายต้องตามชี้แจง
ในที่ประชุม ครม.ยังได้มีการหารือถึงการเตรียมความพร้อมประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ระหว่างวันที่ 31 พ.ค. - 2 มิ.ย. โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ขอความร่วมมือหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ ให้กำชับ ส.ส.ให้เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง อย่าให้เขามาว่าได้