นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า บริษัทแอสตราเซเนกา ผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 ยืนยันว่าจะส่งมอบวัคซีนในเดือนมิถุนายนนี้แน่นอน โดยกรมควบคุมโรคและบริษัทแอสตราเซเนกา ได้หารือกันเพื่อวางแผนว่าแต่ละเดือนจะส่งมอบวัคซีนเป็นจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งตามสัญญา ระบุว่า จะมีการส่งมอบวัคซีนให้ทุกเดือน แต่เดือนละกี่โดสไม่ได้กำหนดตัวเลขไว้ และถ้าส่งมาเท่าไหร่ก็ต้องฉีดให้หมด ไม่มีเก็บไว้ ซึ่งกรมควบคุมโรคมีเป้าหมายไว้แล้วว่า แต่ละเดือนจะต้องฉีดให้กับประชาชนเท่าไหร่ รวมทั้งต้องมีการปรับข้อมูลเป็นระยะ เนื่องจากมีความเปลี่ยนแปลง เช่น กระทรวงแรงงานจะฉีดให้กับแรงงานเอง ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขก็ต้องมาปรับเป้าเพื่อให้สอดคล้องกัน
นายอนุทิน เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้า ตัวแทนบริษัทแอสตราเซเนกา มาหารือในข้อสรุป ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนกระทรวงสาธารณสุขในฐานะผู้ซื้อ ก็จะรอให้ส่งวัคซีนมาตามสัญญา ซึ่งบริษัทแอสตราเซเนกายืนยันว่า จะปฎิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาที่ระบุไว้
ขณะที่บริษัทไฟเซอร์ยื่นเอกสารเทอมชีทมาแล้ว และฝ่ายไทยส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วว่า รับเงื่อนไขได้หรือไม่ ซึ่งมีเวลา 14 วันในการลงนามโดยกรมควบคุมโรค หากเซ็นแล้วไฟเซอร์จะยื่นเอกสารมาจดทะเบียน หลังจากนั้น 30 วัน จะมาหารือกันอีกครั้งถึงสัญญาจัดซื้อจัดหา และการจัดส่ง เป็นไปในช่วงจากนี้ถึงสิ้นปีทั้งหมด 20 ล้านโดส ซึ่งจะได้เดือนละกี่โดสนั้น ต้องรอในขั้นตอนการเซ็นสัญญา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำว่า ไทยไม่ได้ขี่ม้าตัวเดียว มีปัญหาตรงไหนก็จะมีแผน 1 แผน 2 รองรับ โดยกรมควบคุมโรคเป็นผู้ปฎิบัติ ดังนั้นขออย่าไปกดดันกรมควบคุมโรค นายอนุทิน ยังยืนยันว่า วันที่ 7 มิ.ย.นี้ จะมีวัคซีนแอสตราเซเนกาให้ประชาชนแน่นอน และหากใครมาท้าให้ตนลาออก ก็ขอให้ฝ่ายนั้นลาออกด้วยหากมีวัคซีนมาจริง
ส่วนขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพการผลิตล็อตที่จัดส่ง เชื่อว่าจะทันเวลา ส่วนวัคซีนที่เหลือ จะทยอยส่งมอบตามแผนที่เป็นไปตามกำลังความผลิตและความสามารถในการฉีดวัคซีนของไทย
นายอนุทิน ยังระบุว่า ขณะนี้มีวัคซีนเข้ามาหลายเจ้าแล้ว เช่น ซิโนแวค แอสตราเซเนกา จอห์นสันแอนด์จอห์สัน และโมเดอร์นา หากวันศุกร์ที่ 28 พ.ค.นี้ไม่มีอะไรผิดพลาด ซิโนฟาร์มส่งเอกสารครบ ก็น่าจะมีวัคซีนของซิโนฟาร์มที่เข้าคิวจดทะเบียนด้วย รวมทั้งวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ที่จะมาเป็นคิวต่อไป ซึ่งบริษัทไฟเซอร์นั้นมีธุรกิจยาในประเทศไทยอยู่แล้ว และระบบขององค์การอาหารและยา ก็สามารถเร่งกระบวนการอนุมัติได้ ดังนั้นภาคเอกชนที่ต้องการวัคซีนทางเลือก จะมีหลายทางเลือกมากขึ้น