การประชุมเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล และการบริหารจัดการเตียงในเขต กทม. นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ร่วมประชุม นายสาธิต เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะที่ปรึกษา ศบค.ที่มีศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน ได้เห็นชอบให้บูรณาการการบริหารจัดการเตียงผู้ป่วยโควิดใน กทม. โดยให้มีจุดคัดแยกอาการผู้ติดเชื้อ 3 จุด คือ โรงพยาบาลบุษราคัมดูแลกรุงเทพโซนเหนือ ศูนย์แรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ดูแลกรุงเทพโซนกลาง และโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ดูแลกรุงเทพโซนใต้
ส่วนการพบผู้ติดเชื้อโควิดในกลุ่มแคมป์คนงานก่อสร้างจำนวนมาก โดยเฉพาะเขตหลักสี่และเขตวัฒนาส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว นายสาธิต กล่าวว่า หากพบผู้ติดเชื้อแรงงานต่างด้าวอาการสีเขียวจะนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลสนาม จ.สมุทรสาครที่ยินดีช่วยรองรับกลุ่มนี้ และขณะนี้กำลังหารือให้โรงพยาบาลเอกชนช่วยรับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวต่างด้าวด้วย เนื่องจากยังมีเตียงสีเขียวว่างจำนวนมาก กลุ่มสีเหลืองขณะนี้มีศูนย์แรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตร และสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนีรองรับบางส่วน และอยู่ระหว่างหารือให้โรงพยาบาลบุษราคัมช่วยรับบางส่วน
โดยกรณีผู้ติดเชื้อในเรือนจำ นายสาธิต เปิดเผยว่า จะมีอาสาสมัครเรือนจำคัดแยกอาการผู้ติดเชื้อ โดยโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีความพร้อมในการดูแลผู้ติดเชื้อสีเขียวและสีเหลือง โดยมีแนวทางการให้ยาฟาวิพิราเวียร์สำหรับกลุ่มที่ไม่มีอาการแต่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว และกลุ่มที่เริ่มมีอาการแล้ว ส่วนการเตรียมเตียงรองรับผู้ป่วยมีอาการรุนแรง จากการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดิน โดยนพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ มีความพร้อม โดยได้เปิดเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการสีแดง 48 เตียง และเตียงอาการสีเหลืองเข้มที่สามารถใช้เครื่องออกซิเจนไฮโฟลว์ได้ 150 เตียง คาดว่าจะเปิดได้วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 แต่จะต้องจัดบุคลากรทางการแพทย์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาช่วยกันดูแลผู้ป่วย
นอกจากนั้น ที่ประชุมจัดหาเตียงในกทม.ยังได้หารือร่วมกับโรงพยาบาลเอกชนถึงความเป็นไปได้ในการขยายเตียงอาการสีเหลืองเข้มและสีแดง ซึ่งทาง สปสช.ได้เสนอ ครม.เพื่อปรับเพิ่มอัตราจ่ายค่าบริการรักษาพยาบาลโควิดในบางรายการที่ยังไม่มีกำหนด รวมทั้งปรับเพิ่มอัตราค่าห้องและพยาบาลไอซียู
ด้าน รศ.นพ. นิธิพัฒน์ เจียรกุล โรคระบบการหายใจและวัณโรค หัวหน้าสาขา คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้ลงพื้นที่รพ.สนามพลังแผ่นดิน ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า
“เคยวาดฝันโรงพยาบาลสนามที่มีขีดความสามารถดูแลผู้ป่วยปอดอักเสบโควิดได้เทียบเท่าเตียงระดับ 2 ถึง 3 ของโรงพยาบาลหลักได้ คือให้การรักษาด้วยออกซิเจนตั้งแต่ระดับต่ำจนถึงสูง(ไฮโฟลว์) ไปถึงผู้ป่วยวิกฤตที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและการรักษาประคับประคองอวัยวะขั้นสูง วันนี้ได้ไปดูรพ.สนามมงกุฎวัฒนะ ที่นี่เกิดขึ้นจากหมอเอกชนที่มีรากฐานเคยอยู่ภาครัฐ(ทหาร)ด้านการแพทย์ภาคสนามมาก่อน จึงมีทั้ง knowledge and know-how ที่สำคัญคือ มีรพ.หลักเป็นฝ่ายสนับสนุนทั้งเรื่องระบบก๊าซทางการแพทย์ ไฟฟ้า ระบบกำจัดของเสีย และระบบสนับสนุนอื่นๆ สถานที่นี้จึงมีคุณสมบัติขั้นพื้นฐานข้างต้นและมีความปลอดภัยในระดับที่ยอมรับได้ในช่วงวิกฤตสุขภาพ เหลือการปรับปรุงอีกเล็กน้อยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ที่นี่มีเตียงระดับ 2 จำนวน 148 เตียงที่รองรับไฮโฟลว์ได้อย่างน้อย 40 เครื่อง และระดับ 3 จำนวน 48 เตียง ที่รองรับเครื่องช่วยหายใจได้อย่างน้อย 20 เครื่อง และกำลังเพิ่มขีดความสามารถทำการล้างไตทางเส้นเลือดด้วย ซึ่งระยะยาวอาจใช้เป็นสถานที่ล้างไตต่อเนื่องของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่มีผลตรวจโควิดเป็นบวกโดยไม่มีอาการ และที่นี่ยังมีห้องผ่าตัด/ห้องคลอดกรณีฉุกเฉินอีก 1 ห้องด้วย พรุ่งนี้จะนำทีมศิริราชที่ท่านคณบดีประสานงานกับทางกรมราชทัณฑ์เพื่อเข้าไปจัดระบบการรองรับทางการแพทย์สำหรับผู้ต้องโทษและผู้ปฏิบัติงานภายในพื้นที่นั้น”