นายแฟรงก์ เพกา เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคขององค์การอนามัยโลก(WHO) เปิดเผยว่า ผลศึกษาของ WHO ร่วมกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) รวบรวมข้อมูลการเสียชีวิตของแรงงานย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2513 จนถึงปี 2561 ครอบคลุมงานวิจัย 37 ชิ้นเกี่ยวกับคนงานที่ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตันรวม 839,000 คน และงานวิจัยอีก 22 ชิ้น เกี่ยวกับคนงานที่ป่วยด้วยโรคหัวใจจำนวน 768,000 คน พร้อมทั้งทำการวิจัยโดยการสำรวจข้อมูลต่างๆอีก 2,300 ครั้งใน 154 ประเทศทั่วโลก ทีมวิจัย พบว่า ภาวะเครียดจากการทำงานเกินกว่า 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คือ สาเหตุทำให้คนงานทั่วโลกเสียชีวิต 745,000 รายต่อปี ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน และโรคหัวใจ เนื่องจาก ความเครียดสะสมจากการทำงาน
โดยเฉพาะกลุ่มวัยกลางคนถึงกลุ่มผู้สูงอายุในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในแถบตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเสียชีวิตมากที่สุด ผลการวิจัย ชี้ว่า การทำงานเกิน 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตันในอัตราร้อยละ 35 และเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ในอัตราร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ทำงานในเกณฑ์เฉลี่ย 35-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
แม้ว่าการศึกษาเรื่องนี้จะไม่ครอบคลุมในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปีที่แล้ว แต่ทีมวิจัยเตือนว่าการที่ภาครัฐและเอกชนปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้คนงานทำงานจากบ้าน อีกทั้งเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลกอาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการที่คนงานมีพฤติกรรมทำงานติดต่อกันหลายชั่วโมง
นอกจากนี้ WHO มีข้อมูล ชี้ว่า เมื่อปีที่แล้วในช่วงที่ประเทศต่างๆล็อกดาวน์ทั่วโลก จำนวนชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เสนอแนะให้นายจ้างพิจารณาเรื่องนี้เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพในการทำงานของลูกจ้าง ขอให้นายจ้าง ปรับลดชั่วโมงทำงานของลูกจ้างต่อสัปดาห์ ซึ่งจะเกิดประโยชน์สำหรับฝ่ายนายจ้าง ขณะที่ ฝ่ายลูกจ้าง จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม พร้อมเสนอแนะว่านายจ้างที่ฉลาด(smart)ย่อมจะไม่เพิ่มชั่วโมงการทำงานให้กับคนงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน
Cr: BBC