น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศระลอก 3 นี้มีความรุนแรงกว่าระลอก 1 และ 2 มาก ทั้งในแง่ของจำนวนผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้เสียชีวิต แต่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยกว่าระลอกแรก เพราะมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดไม่เข้มข้นเท่ากับระลอกแรก นอกจากนี้ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ามีการเติบโตเนื่องจากการที่รัฐบาลแต่ละประเทศออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลดีต่อเนื่องมาถึงการส่งออกของไทยด้วย ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงน้อยกว่าระลอกแรก ทำให้ภาพรวมผลกระทบต่อเศรษฐกิจในการระบาดระลอก 3 จึงไม่มากเท่ากับระลอกแรก
ซึ่งจากสถานการณ์ในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อในคลัสเตอร์ใหม่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้การเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ช้าลง การได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศให้ได้มากและเร็วที่สุด
ธปท. ได้จัดทำสมมติฐานการฉีดวัคซีนต้านโควิดที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงปี 64-65 ไว้ 3 กรณีดังนี้
-กรณีแรก หากสามารถจัดหาและกระจายวัคซีนได้ 100 ล้านโดสภายในปีนี้ คาดว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในช่วงไตรมาสแรกปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ปี 2564 มีโอกาสขยายตัวได้ร้อยละ 2 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ราว 1 ล้าน 2 แสนนคน ส่วนในปี 2565 คาดว่า GDP จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.7 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 15 ล้านคน
-กรณีที่สอง หากจัดหาและกระจายวัคซีนได้ 64 ล้าน 5 แสนโดสภายในปีนี้ คาดว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ปี 2564 มีโอกาสขยายตัวได้ร้อยละ 1.5 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ราว 1 ล้านคน ส่วนในปี 2565 คาดว่า GDP จะขยายตัวได้ร้อยละ 2.8 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 12 ล้านคน
-กรณีที่สาม หากจัดหาและกระจายวัคซีนได้น้อยกว่า 64 ล้าน 5 แสนโดสภายในปีนี้ คาดว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ปี 2564 มีโอกาสขยายตัวได้ร้อยละ 1 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ราว 8 แสนคน ส่วนในปี 2565 คาดว่า GDP จะขยายตัวได้ร้อยละ 1.1 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8 ล้านคน
สมมติฐานนี้ยังไม่รวมมาตรการจากภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยเยียวยา และกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้กับประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิดในปีนี้ และยังไม่ใช่การปรับประมาณการณ์ทางเศรษฐกิจจาก ธปท. ซึ่งการปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยในรอบของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีขึ้นอีกครั้งในเดือนมิถุนายน นี้
อย่างไรก็ดี จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี ได้ช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้าให้ขยายตัวสูงขึ้น และพยุงให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลงไม่มากในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ขณะเดียวกัน การส่งออกของไทยที่แม้จะเริ่มขยายตัวดีขึ้น แต่ก็ยังส่งผลต่อเนื่องมาสู่ตลาดแรงงานในวงที่จำกัด เนื่องจากยังไม่เห็นการจ้างงานรายใหม่เพิ่มขึ้นมากในภาคการผลิต มีเพียงชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้เป็นผลจากโครงสร้างของตลาดแรงงานที่การจ้างงานในภาคการส่งออกมีสัดส่วนไม่ได้สูงมาก และในระยะข้างหน้า คาดว่าการส่งออกจะส่งผลดีต่อการจ้างงานในภาคการผลิตได้บ้าง
...