นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมด้วยนายแพทย์วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายวัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แถลงข่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน โดยยอดผู้ติดเชื้อ ข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 พบผู้ติดเชื้อในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 1,794 คน ทัณฑสถานหญิงกลาง 1,039 คน ซึ่งเป็นยอดผู้ติดเชื้อรวมตั้งแต่เริ่มมีการระบาดระลอกใหม่ในเดือนเมษายน 2564 และได้รายงานไปยังศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แล้ว
โดยขั้นตอนเมื่อพบผู้ติดเชื้อในเรือนจำ จะย้ายผู้ติดเชื้อไปโรงพยาบาลแม่ข่ายในทันที และจะแจ้งไปยังญาติผู้ต้องขัง ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ต้องขังว่าต้องการแจ้งญาติหรือไม่ พร้อมทั้งสอบสวนโรคจากผู้ติดเชื้อไปยังผู้ต้องขังที่อยู่ในระยะพื้นที่รับเชื้อทุกคน โดยจะตรวจซ้ำยืนยันภายใน 7 วัน และ 14 วัน
สำหรับกรณีที่ผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการหรือเป็นกลุ่มสีเขียว เรือนจำใดที่มีผู้ต้องขังติดเชื้อจำนวนมาก สามารถขออนุญาตผู้ว่าราชการจังหวัด จัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่เรือนจำภายใต้ความเห็นชอบของฝ่ายปกครองพื้นที่สาธารณสุขจังหวัด โดยจะต้องจัดเตรียมบุคลากร สถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือทางการแพทย์ให้พร้อม
กรณี รุ้ง น.ส. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำคณะราษฎร ที่เปิดเผยว่าติดเชื้อโควิด-19 จากในเรือนจำ กรมราชทัณฑ์ ชี้แจงว่า ได้ตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เชิงรุกในผู้ต้องขังทัณฑสถานหญิงกลางแบบ 100% รวมถึงได้ตรวจหาเชื้อกับ น.ส.ปนัสยา ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2564 ผลตรวจออกมาเป็นลบ ไม่มีเชื้อโควิด-19 และยังกักตัวน.ส.ปนัสยา อย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2564 ซึ่ง น.ส.ปนัสยา ไม่ได้ออกไปภายนอกเรือนจำหรือทำกิจกรรมใดๆ จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวไปเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564 กรมราชทัณฑ์ ยังได้ตรวจหาเชื้อเชิงรุก 100% อีกครั้งในแดนที่น.ส.ปนัสยา กักตัวอยู่ ซึ่งไม่พบว่ามีผู้ต้องขังคนใดที่อยู่ร่วมกับน.ส.ปนัสยา ติดเชื้อโควิด-19
ส่วนกรณีของ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ แกนนำกลุ่มคณะราษฎร ที่ต้องตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ก่อนนำตัวขึ้นศาลเพื่อให้ได้ผลตรวจล่าสุด ในวันนี้ (13 พ.ค.64) ผลการตรวจ พบว่าติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันได้ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะนี้ กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในเรือนจำ คือ
1. Bubble and Seal เรือนจำที่มีการระบาดใหญ่จะลดการรับตัวผู้ต้องขังรายใหม่ลง โดยส่งเรื่องพิจารณาให้ศาลทราบและพิจารณาหนทางต่างๆ ที่อาจเป็นไปได้ รวมถึงการไต่สวนทางระบบ Conference เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งผู้ต้องขังไปศาล
2. คัดกรองรายใหม่ก่อนเข้าเรือนจำ ทั้งผู้ต้องขังเข้าใหม่ ออกศาล หรือกลับจากโรงพยาบาลเป็นเวลาอย่างน้อย 21 วัน และเร่งตรวจหาเชื้อโดยเร็วที่สุด และตรวจซ้ำอีกครั้งก่อนจะจำหน่ายจากแดนกักควบคุมโรคไปยังแดนทั่วไป
3. เจ้าหน้าที่เรือนจำทุกแห่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้อยู่ในบ้านพักลดการสัมผัสกับครอบครัว และต้องเข้ารับตรวจ Swab ค้นหาการติดเชื้อที่อาจรับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัวโดยวิธี RT- PCR ทุก 14 วัน
ด้านรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยอมรับว่า สิ่งที่น่ากังวลในการแพร่ระบาดครั้งนี้ คือสายพันธุ์ที่มีความไวต่อการติดเชื้อได้สูง แสดงอาการช้า และมีภาวะแทรกซ้อนอันตราย ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่กรมราชทัณฑ์ต้องเผชิญ รวมทั้งทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ อาจจะมีบุคลากรเฉพาะด้านที่ไม่เพียงพอกับการดูแลผู้ป่วยทั้งหมด จึงได้เร่งจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือเพิ่มเติม ได้แก่ เวชภัณฑ์ ยาต้านไวรัส Favipiravir ที่ยังอยู่ในระหว่างการขอรับการอนุเคราะห์จากกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ เช่น โรงเรียนแพทย์ ต่างๆ องค์การเภสัชกรรม, ยากลุ่มพิเศษอยู่นอกบัญชียาหลักซึ่งมีราคาสูง อยู่ในระหว่างขออนุมัติการจัดซื้อจากกรมราชทัณฑ์, อุปกรณ์เครื่องมือ เช่น เครื่องช่วยหายใจ พร้อมระบบ High flow oxygen จำนวนอย่างน้อย 5 -15 เครื่อง, วัสดุในการตรวจคัดกรองเชื้อ เช่น ชุด PPE ชุด Rapid test สำหรับตรวจ Antigen และ Antibody, พัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เช่น พัดลม โทรทัศน์ เพื่อสร้างความสงบใจในโอกาสที่เจ็บป่วยแล้วมากักตัวอยู่รวมกันจำนวนมาก รวมถึงระบบไฟฟ้า และประปา น้ำยาทำความสะอาด ของใช้อื่นๆ และระบบการกำจัดขยะติดเชื้อที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งต้องเร่งดำเนินการจัดหาเพื่อเตรียมความพร้อม
นอกจากนี้ ยังได้รับการอนุเคราะห์รถพระราชทาน วิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ มาสนับสนุนการตรวจวิเคราะห์ ทำให้สามารถแยกกลุ่มเป้าหมายที่ติดเชื้อและกลุ่มที่ยังไม่ติดเชื้อแยกจากกันได้รวดเร็ว จึงเป็นประโยชน์ในการควบคุมโรค รวมถึงการ X-ray ปอดทุกราย โดยรถพระราชทานจะทำให้การค้นหาผู้ป่วยรายที่มีภาวะแทรกซ้อนปอดอักเสบได้รวดเร็ว นำไปสู่การเริ่มให้ยาแบบก้าวหน้าตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งจะลดผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และลดอัตราการเสียชีวิต
หลังจากนี้ จะเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลสนาม ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ให้สามารถรองรับผู้ป่วยระดับสีแดง อาการหนัก และสำรองยาที่ใช้รักษาให้เพียงพอตลอด รวมถึงเตรียมเสนอให้มีการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังในรายที่ไม่ติดเชื้อ และไม่มีภูมิต้านทาน โดยเริ่มต้นในกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว จนครอบคลุมผู้ต้องขังทุกราย โดยเรียกการบริหารสถานการณ์ครั้งนี้ว่า “ลาดยาวโมเดล”