เหยื่อกราดยิงในรัสเซีย เสียชีวิตเพิ่มเป็น 11 ราย มือปืนเคยเป็นนักเรียนเก่า
เหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนระดับชั้นมัธยมหมายเลข 175 ในเมืองคาซาน เมืองเอกของสาธารณรัฐตาตาร์สถาน ห่างจากกรุงมอสโกของรัสเซีย ไปทางตะวันออกราว 500 ไมล์ ขณะที่มีเด็กนักเรียนจำนวนหลายร้อยคนกำลังอยู่ภายในโรงเรียน
สำนักข่าว TASS ของทางการรัสเซีย รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 11 ราย รวมถึงเด็กนักเรียน 9 ราย ผู้บาดเจ็บ 32 คน
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของภูมิภาค รายงานว่า เด็กที่เสียชีวิตอยู่ระดับเกรด 8 และมีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ไม่ต่ำกว่า 21 คน ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล และจากจำนวนทั้งหมดเป็นเด็ก 18 คน มีคนอยู่ในขั้นวิกฤตจำนวน 6 คน และพบว่าเด็กส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 7 ปี – 15 ปี
ตำรวจรัสเซีย เปิดเผยว่า สามารถจับกุมมือปืนไว้ได้เป็นวัยรุ่นชายวัย 19 ปี ชื่อ นายอิลนาซ กาลยาวีเยฟ (Ilnaz Galyaviyev ) เป็นชาวคาซาน เมื่อช่วงปลายเดือนเม.ย.64 เพิ่งได้รับใบอนุญาตในการพกอาวุธปืนลูกซองกึ่งอัตโนมัติ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นอาวุธใช้ก่อเหตุครั้งนี้
สื่อท้องถิ่น รายงานว่า คนร้ายเคยเป็นอดีตนักเรียนโรงเรียนแห่งนี้ เมื่อ 4 ปีก่อน และปัจจุบันกำลังเรียนอยู่ที่วิทยาลัยในเมืองคาซาน แต่เมื่อเดือนเม.ย.64 ได้ออกจากมหาวิทยาลัย
การรายงานข่าวก่อนหน้านี้ มีการเสนอข่าวในทิศทางสับสนที่ออกมาว่ามีมือปืนกราดยิง 2 คน แต่เจ้าหน้าที่ ปฎิเสธและระบุว่า วัยรุ่นวัย 19 ปีรายนี้ลงมือก่อเหตุคนเดียว
สื่อรัสเซีย พบว่า ก่อนลงมือก่อเหตุ นายกาลยาวีเยฟ ได้โพสต์ภาพและเรียกตัวเองว่า “พระเจ้า” พร้อมกับกล่าวว่า กำลังจะก่อเหตุร้ายขึ้น และเมื่อถูกจับได้ เขาได้ตะโกนร้องใส่ตำรวจที่กำลังสอบปากคำว่าเขารู้ตัวว่าเขาเป็นพระเจ้า และเขาเกลียดทุกคน
‘ปูติน’ สั่งร่างกฎใหม่ควบคุมอาวุธปืน
ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อผู้เคราะห์ร้ายทุกคน พร้อมกับออกคำสั่งในทันทีต่อเจ้าหน้าที่ให้ทำการเข้มงวดการควบคุมอาวุธปืน
ด้านนายดมิตทรี เพรสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน เปิดเผยว่า นายปูตินได้สั่งการให้ผู้บัญชาการหน่วยเนชันแนลการ์ดซึ่งทำหน้าที่ควบคุมอาวุธปืนให้ร่างกฎใหม่สำหรับประเภทของอาวุธที่พลเรือนสามารถครอบครองได้
ขณะที่หน่วยสิทธิมนุษยชนรัสเซีย แสดงความเห็นประเด็นอายุของผู้สามารถครอบครองอาวุธปืนในรัสเซียว่า เห็นสมควรให้เพิ่มระดับอายุผู้ที่สามารถครอบครองได้มาอยู่ที่ 21 ปี เว้นแต่บุคคลที่กำลังทำงานให้กับกองทัพ
เหตุยิงกันในโรงเรียนในรัสเซียเกิดขึ้นน้อยมาก เหตุรุนแรงครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2561 ที่คาบสมุทรไครเมีย ที่รัสเซียผนวกดินแดนจากยูเครน โดยเด็กนักเรียนคนหนึ่งกราดยิงเพื่อนในโรงเรียน เสียชีวิต 19 ราย ก่อนจะยิงตัวเองเสียชีวิต
รัสเซีย ยืนยัน ไม่เกี่ยวข้องเหตุโจมตีทางไซเบอร์ ท่อส่งน้ำมันในสหรัฐฯ
รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานเพื่อแก้ปัญหาการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง หลังจากท่อส่งน้ำมันของบริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์ ถูกโจมตีด้วย ransomware หรือ มัลแวร์เรียกค่าไถ่ ทำให้การลำเลียงน้ำมันผ่านท่อส่งดังกล่าวต้องหยุดชะงักลง
บริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์ ต้องปิดเครือข่ายสายท่อส่งขนเชื้อเพลิงระยะทาง 8,850 กิโลเมตร ที่จัดส่งน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบิน จากเท็กซัส ซึ่งอยู่ในแถบกัลฟ์โคสต์ ทางภาคใต้ของประเทศ ไปจนชายฝั่งภาคตะวันออก (อีสโคสต์) ของสหรัฐฯ ภายหลังระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทถูกแฮ็ก และถูกเปลี่ยนรหัสจนเข้าใช้งานไม่ได้
ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นฝีมือของกลุ่มอาชญากรที่มีชื่อว่า ดาร์กไซด์ (DarkSide) ซึ่งจะปฏิบัติการเลียนแบบตัวละครโรบินฮู้ดด้วยการขโมยเงินจากบริษัทต่างๆ และแบ่งให้กับองค์กรการกุศล กลุ่มดาร์กไซด์ เป็นหนึ่งในอาชญากรที่เชี่ยวชาญในการใช้มัลแวร์เรียกค่าไถ่ ซึ่งเคยถูกใช้เป็นเครื่องมือโจมตีชาติตะวันตก รวมมูลค่าความเสียหายหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ กลุ่มดาร์กไซด์ กลุ่มอาชญากรทางไซเบอร์มืออาชีพ ออกคำแถลงประกาศเจตนารมณ์ว่า ต้องการเงิน ไม่ได้อยากสร้างปัญหาให้สังคม แต่ไม่ได้พาดพิงถึงบริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์
โฆษกทำเนียบเครมลิน ยืนยันว่า รัสเซียไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีทางไซเบอร์ท่อส่งน้ำมันของบริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์ ซึ่งเป็นผู้บริหารท่อส่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ
ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ยังไม่ได้กล่าวหาว่ารัสเซียมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีหลักฐาน ชี้ว่า รัสเซียมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ว่าจะมีหลักฐานแสดงว่าผู้ที่ทำการโจมตีได้ดำเนินการอยู่ในรัสเซีย ดังนั้น รัสเซียจึงมีความรับผิดชอบบางส่วนจัดการกับเรื่องนี้
ทั้งนี้ สำนักงานสอบสวนกลางของอเมริกา (เอฟบีไอ) ระบุว่า กลุ่มดาร์กไซด์ที่เชื่อกันว่า กบดานอยู่ในรัสเซียหรือยุโรปตะวันออก อยู่เบื้องหลังการโจมตีนี้
ชาวอเมริกัน กลัวน้ำมันขาดแคลน หลังท่อส่งน้ำมันโดนโจมตี
ท่อส่งน้ำมันโคโลเนียล ไปป์ไลน์ ขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงในปริมาณ 2,500,000 บาร์เรล/วัน หรือคิดเป็นร้อยละ 45 ของปริมาณการใช้น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน และเชื้อเพลิงอากาศยานในฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ แต่ระบบขนส่งน้ำมันของบริษัทต้องหยุดชะงักลงตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว
ปัญหาการชะงักงันของระบบส่งเชื้อเพลิงของโคโลเนียล ไปป์ไลน์ เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ฤดูตากอากาศ ผู้คนออกเดินทางกันอย่างคึกคัก โดยดีมานด์น้ำมันเบนซินและการเดินทางทางอากาศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงสุด
นายแพทริก เดอ ฮาน หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านปิโตรเลียมของแก๊สบัดดี้ ชี้ว่า ชาวอเมริกันในรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ พากันแตกตื่นนำรถไปเติมน้ำมันเนื่องจากกลัวว่า น้ำมันจะขาดแคลน
ขณะเดียวกัน ผู้นำเข้าเชื้อเพลิงของสหรัฐฯ กำลังติดต่อสั่งน้ำมันเบนซินจากยุโรป
ขณะที่ผู้กลั่นน้ำมันหลายราย ลดกำลังผลิตในโรงงานแถบกัลฟ์โคสต์ เนื่องจากไม่สามารถขนส่งได้
ความกังวลที่เกิดขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันปิดตลาดเมื่อคืนนี้ 11 พ.ค.64 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
-สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมิ.ย.64 เพิ่มขึ้น 36 เซ็นต์ ปิดที่ 65.28 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
-เบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนก.ค.64 เพิ่มขึ้น 23 เซ็นต์ ปิดที่ 68.55 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
เร่งคุมโควิด! นายกฯ อินเดีย ไม่ร่วมประชุม G7 ที่อังกฤษ
กระทรวงการต่างประเทศอินเดีย แถลงว่า นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ไม่สามารถเข้าร่วมการประชุม G7 ที่มีกำหนดจัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษในเดือนหน้า เนื่องจาก ติดภารกิจในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในอินเดีย
ก่อนหน้านี้ นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เชิญนายโมดีเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G7 ในฐานะแขกรับเชิญที่มีกำหนดจัดขึ้นที่เมืองคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ ในวันที่ 11-13 มิ.ย.64
อินเดียมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะสมมากกว่า 23,000,000 คน สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 250,000 ราย สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯและบราซิล
นอกจากปัญหาระบบสาธารณสุขที่ไม่สามารถรับมือกับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มจำนวนมากได้แล้ว การจัดพิธีศพผู้เสียชีวิต ยังไม่สามารถดำเนินการได้ด้วย ทางการกำลังเร่งสอบสวนเหตุการณ์ที่มีการพบศพอย่างน้อย 40 ศพ ลอยเกยตื้นริมแม่น้ำคงคาบริเวณชายแดนรัฐพิหาร-รัฐอุตตรประเทศว่าเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิด-19 หรือไม่
ชาวบ้านบางคน เช่น นายจันทรา โมฮัน เปิดเผยว่า ในสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบัน ชาวบ้านขาดแคลนไม้ฟืนสำหรับการเผาศพ ทั้งไม่มีเงินใส่ซองถวายพระที่มาสวดในพิธีศพ บางคนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการนำศพของญาติที่เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ไปทิ้งแม่น้ำ
ชายออสซี่ ติดเชื้อโควิด-19 หลังกักตัวครบ 14 วัน คาดน่าจะติดในสถานที่กักกัน
สถานการณ์โควิด-19 พบผู้ป่วยในพื้นที่รายแรกของรัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ในรอบ 2 เดือน เป็นชายอายุราว 30 ปี เพิ่งเดินทางกลับมาจากอินเดียเมื่อช่วงกลางเดือนเม.ย.64 และได้กักตัวในโรงแรมจนครบ 14 วันแล้ว แต่กลับเพิ่งตรวจพบการติดเชื้อโควิด-19 หลังจากเริ่มมีอาการของโรคในช่วงสุดสัปดาห์
ด้านเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้ทำการสอบสวนชายคนดังกล่าวและเร่งให้ผู้ที่พบชายคนนี้ทำการกักตัวและตรวจหาเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้ยังได้เผยแพร่รายชื่อสถานที่ที่ชายคนดังกล่าวไป
ออสเตรเลียมีมาตรการป้องกันไวรัส เช่น การปิดพรมแดน แต่รัฐวิคตอเรียก็เป็นรัฐที่มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมากที่สุดและถูกล็อกดาวน์เป็นเวลาหลายเดือน อย่างไรก็ตาม รัฐวิคตอเรียไม่ได้มีแผนที่จะยกระดับการเว้นระยะห่างหรือการสวมหน้ากากอนามัย นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่าชายคนดังกล่าวจะติดโควิด-19 จากในสถานที่กักตัวของออสเตรเลียไม่ใช่ในอินเดีย
ไล่ออกแล้ว! ตร.ลาว ที่พา 2 คนไทยลอบเข้าเมือง เที่ยวหลายที่จนโควิด-19 ระบาดรอบใหม่
พล.ท.วิไล หล้าคำฟอง รัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ สปป.ลาว ลงนามในคำสั่งให้ ร.อ.พูใส สีสะหวัน นายตำรวจ สังกัดกองบัญชาการป้องกันความสงบ (บก.ปกส.) แขวงสะหวันนะเขต อายุ 35 ปี ออกจากราชการ โดยไม่ได้รับบำนาญและเรียกคืนชั้นยศ เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีชายไทย 2 คน ที่ลักลอบนั่งเรือจากจ.มุกดาหารข้ามแม่น้ำโขง เข้าไปที่แขวงสะหวันนะเขต และไปเที่ยวสถานที่หลายแห่งในนครหลวงเวียงจันทน์ ของลาวพร้อมเพื่อนหญิงชาวลาวอีก 2 คน เมื่อช่วงวันที่ 7-16 เม.ย.64 และเป็นต้นเหตุสำคัญทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่ในลาว
ทางการลาว ได้ดำเนินคดีกับหญิงลาว 2 คนไปแล้ว ได้แก่ หญิงชาวสะหวันนะเขต ซึ่งเป็นเพื่อนกับคนไทย 2 คน และหญิงชาวเวียงจันทน์อีก 1 คน
ส่วนคนไทย 2 คน ชื่อ นายชิตพล อายุ 30 ปี ชาวจังหวัดร้อยเอ็ด และนายธนกฤต อายุ 31 ปี ที่แอบข้ามกลับมายังจังหวัดหนองคาย เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 64 กองกำกับการตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ดำเนินคดีในข้อหาเป็นบุคคลสัญชาติไทยเดินทางเข้ามาและออกไปนอกราชอาณาจักร โดยไม่ผ่านเขตท่า สถานี ตามประกาศในกฎกระทรวง และไม่ผ่านการตรวจจากเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจำเส้นทางนั้น และจงใจปกปิด บิดเบือนไทม์ไลน์ของตนเองต่อเจ้าพนักงาน