สำนักข่าวบลูมเบิร์กของสหรัฐฯรายงานว่า จากการที่บริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐฯ เป็นบริษัทแรกๆของโลกที่ผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำเร็จปลายปีที่แล้ว มียอดสั่งซื้อวัคซีนจากรัฐบาลกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ซึ่งไฟเซอร์ได้ส่งมอบวัคซีนรวม 95 ล้านโดสให้กับประเทศต่างๆทั่วโลก ตั้งเป้าผลิตวัคซีน 2,000 ล้านโดสในปีนี้ โดยไฟเซอร์คาดว่าบริษัทจะทำรายได้ 15,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งบลูมเบิร์กคาดว่า ไฟเซอร์จะเป็นหนึ่งในบริษัทยาชั้นนำที่สร้างรายได้มากที่สุดในโลกในปีนี้
ในอดีตไม่บ่อยนักเครื่องบินลำเลียงวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐฯไปถึงสนามบินของประเทศใดแล้ว จะมีผู้นำรัฐบาลจากประเทศนั้นๆไปรอรับที่สนามบิน แต่การระบาดของโรคโควิด-19 เปลี่ยนแปลงสถานการณ์มากมาย เมื่อวันที่ 10 มกราคม นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล พร้อมรถนำขบวน ได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังสนามบินนานาชาติเบนกูเรียนทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเทลอาวีฟ เพื่อเป็นสักขีพยานการรับมอบวัคซีนล็อตที่สอง 700,000 โดสจากไฟเซอร์ ซึ่งถูกนำลงจากเครื่องบินโบอิ้ง 787-9 ของสายการบินแอล อัล อิสราเอล สายการบินแห่งชาติของอิสราเอล ต่อเนื่องจากวัคซีนล็อตแรกที่ส่งมอบให้กับอิสราเอลเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมปีที่แล้ว
ช่วงนั้น อิสราเอลพบการแพร่ระบาดสูงมาก เฉลี่ย 1,500 คน ทั้งการเลือกตั้งในวันที่ 23 มีนาคม 2564 ใกล้เข้ามาทุกขณะ ดูเหมือนนายเนทันยาฮูจะฝากอนาคตทางการเมืองไว้กับโครงการวัคซีนจากไฟเซอร์ นายเนทันยาฮู อ้างว่า ในเดือนมกราคมเขาได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายบูร์ลา 17 ครั้ง เพื่อเจรจาเรื่องวัคซีน ระบุว่าในบางครั้งนายบูร์ลา เคยรับโทรศัพท์จากเขาในเวลา 02.00 น.ในที่สุดนายเนทันยาฮูชนะการเลือกตั้ง
ห้าวันหลังนายเนทันยาฮูชนะการเลือกตั้ง บริษัทไฟเซอร์ประกาศ จะปิดโรงงานผลิตในเบลเยียมเพื่อปรับปรุงชั่วคราว ประกาศว่าไฟเซอร์ อาจจะส่งมอบวัคซีนลดลงจากสัญญาสั่งซื้อในอัตราร้อยละ 30 สร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลของหลายประเทศ โดยเฉพาะอิตาลี ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในยุโรป ถึง 9,800 ราย
Cr: Bloomberg, Time of Israel