ตร.สอบปากคำหญิงก่อเหตุแทงคนในรพ.ที่เยอรมนี
เหตุการณ์สะเทือนใจคนร้ายใช้มีดแทงคนในโรงพยาบาลโอเบอร์ลิน คลินิก ซึ่งรักษาโรคกระดูกและกล้ามเนื้อ ในเมืองพ็อตซ์ดัม เมืองเอกของรัฐแบรนเดนบวร์ก ที่อยู่ล้อมรอบกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ทำให้มีคนเสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บสาหัส 1 คน ชาวเมืองได้เดินทางนำดอกไม้ไปวางไว้ด้านหน้าของโรงพยาบาล
ตำรวจได้รับแจ้งเหตุเดินทางไปถึงโรงพยาบาล เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันพุธ ตามเวลาท้องถิ่น และพบผู้เสียชีวิตนอนตายอยู่ในห้องผู้ป่วยหลายห้อง ในสภาพมีบาดแผลถูกแทงด้วยของมีคม
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ถากสปีเกล รายงานว่า ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 4 ราย ได้รับบาดเจ็บอาการสาหัสอีก 1 คน โดยทุกคนซึ่งเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลดังกล่าว ถูกทำร้ายด้วยมีด ผู้เสียชีวิตบางคนอยู่ในสภาพติดเตียง มีเครื่องช่วยหายใจครอบจมูก
หลังก่อเหตุ หญิงต้องสงสัยเดินทางกลับบ้าน และบอกกับสามีว่าเธอก่อเหตุฆ่าคน ทำให้สามีโทรศัพท์แจ้งตำรวจ และตำรวจตามไปจับกุมเธอที่บ้าน ขณะนี้ตำรวจกำลังสอบปากคำ เพื่อหามูลเหตุจูงใจ และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อตั้งข้อหาดำเนินคดี
ทั่วโลก ใช้เงินฉีดวัคซีนต้านโควิดจนถึงปี 2025 สูงถึง 4.89 ล้านล้านบาท
รายงานของบริษัท IQVIA โฮลดิง อิงค์ ผู้ให้บริการข้อมูลด้านสุขภาพของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าทั่วโลกจะใช้เงินไปกับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ราว 157,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (4.89 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2025 ซึ่งเป็นผลมาจากที่ทั่วโลกต้องระดมฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 และคาดว่าจะต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นอีกทุกๆ 2 ปี
นอกจากนี้ IQVIA คาดว่า การฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ในรอบแรกเพื่อให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากรโลกที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 7,674 ล้านคน จะสิ้นสุดภายในปี 2022 ส่วนการฉีดเข็มกระตุ้นมีแนวโน้มที่จะฉีดหลังวัคซีนเข็มแรกในทุกๆ 2 ปี อ้างอิงจากข้อมูลประสิทธิภาพของวัคซีนในปัจจุบัน
เมื่อช่วงต้นเดือน ทางการสหรัฐฯ เปิดเผยว่า กำลังเตรียมฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยคาดว่าจะฉีดเข็มกระตุ้น 9-12 เดือน หลังจากได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 ในครั้งแรกครบแล้วนายเมอร์เรย์ เอทเคน รองประธานอาวุโสของบริษัท IQVIA คาดการณ์ว่า ปี 2021 นี้จะเป็นปีที่ทั่วโลกซื้อวัคซีนมากที่สุด คิดเป็นมูลค่าราว 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1.68 ล้านล้านบาท) เนื่องจาก มีการระดมฉีดวัคซีนในหลายประเทศทั่วโลก ขณะที่ การแข่งขันที่สูงและปริมาณวัคซีนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้วัคซีนมีราคาถูกลงในอนาคต
อังกฤษ มีแผนซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์อีก 60 ล้านโดส
รัฐบาลอังกฤษ ประกาศแผนจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค เพิ่มอีก 60,000,000 โดส เตรียมไว้สำหรับฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง คำสั่งซื้อล่าสุดทำให้ยอดสั่งจองวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มขึ้นเป็น 100,000,000 โดส เทียบเท่ากับจำนวนวัคซีนที่อังกฤษสั่งซื้อจากแอสตราเซเนกา
นายแม็ตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ แถลงว่า การสั่งซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติม ก็เพื่อรองรับแผนการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง พร้อมย้ำว่า ปัจจัยเสี่ยงที่สุดสำหรับโครงการฉีดวัคซีนในอังกฤษ ก็คือ “ไวรัสกลายพันธุ์” ทำให้เรากำลังวางแผนฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ประชาชน สำหรับวัคซีนอีก 60 ล้านโดสนี้ จะถูกใช้ร่วมกับวัคซีนตัวอื่นๆ ในช่วงปลายปี
ประกาศจากทางกระทรวงมีขึ้น หลังจากที่หน่วยงานสาธารณสุขของอังกฤษ (Public Health England) เผยแพร่ข้อมูลใหม่ระบุว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 แม้เพียง 1 โดสช่วยลดโอกาสที่ผู้ติดเชื้อจะแพร่กระจายเชื้อสู่คนในครอบครัวได้ถึงสูงสุดถึงร้อยละ 50
อังกฤษซึ่งมีประชากร 67,000,000 คน ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปแล้วประมาณ 47.5 ล้านโดส โดยเกือบ 34,000,000 โดสเป็นการฉีดเข็มแรก ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นชาติที่เดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนรวดเร็วเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยเป็นรองเพียงอิสราเอลซึ่งฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด
กลับมาเข้มอีกครั้ง! เวียดนาม พบติดเชื้อครั้งแรกในรอบ 35 วัน
กระทรวงสาธารณสุขของประเทศเวียดนาม เริ่มคัดกรองเชิงรุกทันทีในวันนี้ต่อเนื่องในช่วงวันหยุดยาว 4 วัน เป็นการยกระดับมาตรการไม่ให้เกิดการติดเชื้อระลอกที่ 4หลังจากที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แบบติดต่อภายในประเทศเป็นกรณีแรกในรอบ 35 วัน ทำให้ทางการต้องสั่งเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดรอบใหม่
ผู้ติดเชื้อดังกล่าว คือสมาชิกครอบครัว 4 คนในจังหวัด ฮานาม ทางเหนือของประเทศ และอีก 1 คนที่กรุงโฮจิมินห์ ทั้งหมดมีประวัติติดต่อสัมผัสกับบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางกลับมาจากญี่ปุ่นและมีผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นบวก แต่ผ่านการกักตัวแล้ว
การพบผู้ติดเชื้อทำให้รัฐบาลเวียดนามสั่งการให้หน่วยงานรัฐและจังหวัด เพิ่มความเข้มงวดของมาตรการคัดกรอง, ควบคุม และการตามรอยการติดเชื้อ
เวียดนาม ประสบความสำเร็จอย่างมากในการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้ง 3 ระลอกที่เกิดขึ้นในประเทศ ด้วยมาตรการกักตัวและการตามรอยการติดเชื้อที่เข้มงวด ทำให้จนถึงตอนนี้พบผู้ติดเชื้อในประเทศเพียง 2,910 ราย และเสียชีวิต 35 ราย
เศรษฐีอินเดีย แห่เหมาเครื่องบินหนีไปดูไบ
บรรดาเศรษฐีอินเดีย แห่เช่าเหมาลำเครื่องบินส่วนตัวเพื่อหนีจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในอินเดีย ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น อย่างนายที พาเทล นักธุรกิจชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กำลังพยายามหาทางพาภรรยาและลูกๆทั้ง 3 คนที่ติดอยู่ในเมืองบังกาลอร์ของอินเดียมายังดูไบ โดยอาจใช้บริการเครื่องบินส่วนตัว แม้จะใช้เงินจำนวนมากก็ตาม
ก่อนหน้านี้ นายพาเทลได้จ่ายค่าตั๋วเครื่องบินมาดูไบของพ่อแม่และหลานสาวราว 10,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (327,820 บาท) ซึ่งแพงกว่าราคาตั๋วปกติเกือบ 20 เท่า หลังจากรอถึง 2 เดือนกว่าจะสามารถเช่าเครื่องบินส่วนตัวได้ในราคา 42,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (1.3 ล้านบาท) โดยแชร์ค่าเครื่องบินกับชาวอินเดียคนอื่นๆ
ช่วงเวลาดังกล่าวมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำเดินทางเข้าดูไบหลายสิบเที่ยว เนื่องจากตั๋วเที่ยวบินพาณิชย์เต็มทั้งหมด ก่อนที่ดูไบจะแบนเที่ยวบินพาณิชย์จากอินเดียเมื่อวันที่ 25 เม.ย.64 จากความกังวลเรื่องเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ในอินเดีย
ชายอินเดีย ถูกจับฐานแพร่ข่าวลือ ทวีตข้อความร้องขอถังออกซิเจนเพื่อช่วยปู่ที่ป่วยหนัก แต่เจ้าหน้าที่ เผยว่า ปู่ของเขาไม่ได้ติดเชื้อโควิด
ตำรวจในรัฐอุตตรประเทศ ของอินเดีย กำลังส่งฟ้องดำเนินคดีนายชาแชงค์ ยาดาฟ ในข้อหา แพร่กระจายข่าวลือ หลังจากชายคนนี้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์เรียกร้องขอถังออกซิเจนเพื่อช่วยเหลือปู่ ซึ่งเขาอ้างว่ากำลังป่วยหนักใกล้เสียชีวิต โดยไม่ได้ระบุว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่
ข้อความของนายยาดาฟ ถูกทวีตเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และเพื่อนๆช่วยกันรีทวีตต่อๆ จนไปถึงนาง สมิตี อิมรานี มุขมนตรี ส.ส.เมืองอเมธี ซึ่งเป็นเมืองที่นายยาดาฟ อาศัยอยู่ ก่อนที่เธอจะเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า พยายามติดต่อนายยาดาฟเมื่อช่วงเย็นวันเดียวกัน และแจ้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นแล้ว
เจ้าหน้าที่อินเดีย เปิดเผยว่า ปู่ของนายยาดาฟเสียชีวิตในคืนวันจันทร์ ด้วยอาการคล้ายกับหัวใจวาย และเขาไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 แต่ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดในเรื่องนี้ ทำให้ตำรวจตั้งข้อหาอาชญากรรมแก่นายยาดาฟ แพร่ข้อความที่มีข้อมูลชี้นำในทางที่ผิด
รัฐอุตตรประเทศเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดหนักที่สุดในอินเดีย แต่นายโยกี อดิตยนาธ มุขมนตรี ถูกกล่าวหาว่า ปฏิเสธความรุนแรงที่แท้จริงของการระบาดที่เกิดขึ้น โดยเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาออกมาเรียกร้องให้ยึดทรัพย์สินของผู้ที่กระจายข่าวลือและโฆษณาชวนเชื่อ พร้อมทั้งยืนยันว่า ไม่มีโรงพยาบาลแห่งใดในรัฐอุตตรประเทศ ที่ขาดแคลนออกซิเจน แม้จะมีภาพคนไข้ล้นโรงพยาบาลตามโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศถูกเผยแพร่ออกมาเป็นจำนวนมากก็ตาม