การฉีดวัคซีน โควิด-19 นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อเด็กแห่งประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวว่า ประสิทธิภาพวัคซีน ทั้ง “ซิโนแวค” และ “แอสตร้าเซนเนก้า” ที่ไทยใช้ไม่ต่างกันมาก อยู่ในเกณฑ์ที่ทั่วโลกยอมรับ มีประสิทธิภาพที่ดี ส่วนรองรับเชื้อกลายพันธุ์หรือไม่นั้น วัคซีนซิโนแวค ประเทศจีนศึกษาวิจัยนำน้ำเหลืองของผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค ซิโนฟาร์ม และของผู้ป่วยที่หายแล้ว มาจัดการกับไวรัสกลายพันธุ์ สามารถทำได้ระดับหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าไม่ดีเทียบเท่ากับเชื้อดั้งเดิม ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า กับสายพันธุ์อังกฤษก็สู้กับเชื้อได้ประมาณ 70% แต่สู้ได้ถึง 81% กับสายพันธุ์ดั้งเดิม สรุปได้ว่าวัคซีนที่มีอยู่ในมือยังรับมือเชื้อกลายพันธุ์ได้ แต่อาจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าสายพันธุ์ดั้งเดิม
ประเด็นความปลอดภัยของวัคซีน พบว่าวัคซีนซิโนแวคมีผลข้างเคียงน้อยกว่าวัค ซีนแอสตร้าเซนเนก้า จะมีประมาณ 20-30% พบอาการปวด บวม แดงร้อน ปวดร่างกายหลังฉีด แต่จะหายไปภายใน 2 วัน ส่วนกรณีกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ พบอาการคล้ายอัมพฤกษ์ชั่วคราวหลังฉีด จากการวิเคราะห์พบว่า เป็นผลข้างเคียงจากความวิตกกังวล รวมถึงความอ่อนเพลียจากการทำงาน ซึ่งอาการหายภายใน 3 วัน
ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า มีผลข้างเคียงที่คล้ายกัน เช่น ปวดศีรษะ ปวดร่างกาย แดงร้อน ซึ่งเกิดขึ้นสูงถึง 40-50% แต่หายภายใน 2 วัน กรณีลิ่มเลือดอุดตันที่พบในต่างประเทศ เกิดขึ้นได้ 4 ใน 1 ล้านโดส และพบน้อยในกลุ่มคนทวีปเอเชีย แต่การศึกษาพบว่า หากเป็นผู้ติดเชื้อ โควิด-19 มีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ 125,000 ต่อ 1 ล้านคนที่ป่วย ซึ่งสูงกว่าการเกิดจากวัคซีนเป็นร้อยเท่า
กรณีหญิงตั้งครรภ์ มีข้อมูลออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ติด โควิด-19 สูงกว่าตั้งครรภ์ที่ไม่ติดเชื้อถึง 22 เท่า ดังนั้น ประเด็นการฉีดวัคซีนให้ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน โดยผู้รับจะต้องชั่งน้ำหนักผลประโยชน์ ผลดีและผลเสียเอง โดยข้อมูลจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า หญิงตั้งครรภ์ 35,000 คน ที่ได้รับวัคซีน ไม่ค่อยมีผลต่อครรภ์ แต่อาจจะมีผู้ที่คลอดก่อนกำหนดบ้างเล็กน้อย แต่ขณะนี้เรายังไม่ฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ เว้นหากมีความเสี่ยงก็จะพิจารณาฉีดได้ ซึ่งจะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์
แฟ้มภาพ