พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับปัญหาการบริหารจัดการเตียงสำหรับผู้ป่วยโควิด -19 โดยย้ำว่าขณะนี้ทุกฝ่ายทุกหน่วยงาน บุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้า กำลังเร่งทำงานร่วมกัน เพื่อจะดูแลและจัดหาเตียงให้กับประชาชน โดยมีหลักการแบ่งผู้ป่วยเป็น 3 ระดับ คือ
สีเขียว ผู้ป่วยอาการน้อยหรือไม่มีอาการ จะส่งรักษาที่โรงพยาบาลสนาม หรือฮอสพิเทล
สีเหลือง ผู้ป่วยที่มีอาการ ส่งโรงพยาบาลทั่วไป
สีแดง ผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ส่งโรงพยาบาลเฉพาะทาง
นอกจากนี้ ยังมีการจัดเตรียมสถานที่คัดกรองผู้ติดเชื้อ เพื่อไม่ให้ไปแออัดตามโรงพยาบาล และเร่งการฉีดวัคซีนให้เร็วขึ้น โดยขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งเจรจาขอซื้อวัคซีนเพิ่มเติมจากบริษัทต่างๆ ซึ่งยอมรับว่ามีอุปสรรค คือ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ถือเป็นสินค้าที่มีหลายประเทศต้องการ จึงมีการแย่งชิงกัน และการจะขอซื้อวัคซีนจากบริษัทใด ก็ต้องขออนุญาตจากประเทศต้นทางที่บริษัทนั้นตั้งอยู่ด้วย แต่ยืนยันว่ารัฐบาลจะพยายามจัดหาวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชนให้เร็วที่สุด โดยตั้งเป้าจัดหาวัคซีน 100 ล้านโดส เพื่อนำมาฉีดให้ประชาชน 50 ล้านคน ภายในปี 2564 พร้อมกับเปิดกว้างให้ภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดหาวัคซีนทางเลือก โดยรัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบผลกระทบที่เกิดจากการฉีดวัคซีนทั้งหมด
นายกรัฐมนตรี ยังให้กำลังใจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งทีมงานด้านสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน ที่ถือเป็นด่านหน้าในการต่อสู้กับโรคระบาด พร้อมยืนยันว่าไม่มีปัญหาขัดแย้งและรัฐบาลยังสามารถบริหารงานได้
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่ถูกปรับเพราะไม่ใส่หน้ากากอนามัย โดยบอกว่า หลังจากเห็นข่าวเผยแพร่ในโทรทัศน์และเฟซบุ๊ก ว่าตัวเองไม่ใส่หน้ากากอนามัย ผิดกฎหมายระเบียบที่กรุงเทพมหานครประกาศใช้ ก็เกิดความไม่สบายใจ ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย และขอให้เจ้าหน้าที่มาเปรียบเทียบปรับ ซึ่งนายกรัฐมนตรียอมรับว่าตัวเองบกพร่อง นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องเข้าใจว่ามีกฎหมายหลายตัวที่เกี่ยวข้อง ทั้งของตำรวจ ทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ในหลักการ คือ การสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกเคหสถาน ไปในที่สาธารณะ หรือนั่งรถไปกันหลายคน นอกจากจะไม่ถูกปรับแล้ว ยังช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไปยังคนในครอบครัวด้วย ซึ่งวันนี้ ระหว่างเดินทางมาทำเนียบรัฐบาลนายกรัฐมนตรีก็ใส่หน้ากากอนามัยมาตลอดทาง
ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ มีการออกมาตรการเพิ่มเติม และหารือเรื่องมาตรการทางเศรษฐกิจที่จะใช้เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ตรงกลุ่มเป้าหมาย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยังอนุมัติร่างประกาศขยายเวลายกเว้นภาษีขาเข้า สำหรับของที่นำมาใช้รักษา วินิจฉัยโรคโควิด-19 ออกไปอีก 1 ปี รวมทั้งเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลให้กับประชาชน เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น การฉีดวัคซีนแล้วเกิดอาการข้างเคียง
นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศยังมีการขยายตัวสูง มีกำลังซื้อจากต่างประเทศมากขึ้น แม้จะมีวิกฤตจากโควิด-19 แต่ในวิกฤตก็เป็นโอกาสให้ไทยส่งออกสินค้าได้มากขึ้นด้วย