กรณีมีกระแสข่าวว่า จะมีการพิจารณาให้ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการไม่มาก พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน (Home Isolation) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เป็นเพียงแนวคิดที่เตรียมไว้ กรณีมีผู้ป่วยจำนวนมากนับหมื่นรายขึ้นไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะนำแนวคิดนี้มาใช้ เพราะจำนวนตัวเลขผู้ป่วยมีแนวโน้มลดลง ส่วนแนวทางที่เตรียมไว้ จะพิจารณาจาก
1.ต้องเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ
2.เป็นผู้ติดเชื้อที่อายุไม่เกิน 40 ปี
3.มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
4.มีผู้อยู่ร่วมบ้านไม่เกิน 1 คน
5.ไม่มีภาวะอ้วน
6.ไม่มีโรคร่วม เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
7.ต้องยินยอมแยกตัวในที่พักของตัวเอง
โดยแพทย์จะทำการรักษาผ่านเทเลมอนิเตอร์ เพื่อสื่อสารกับผู้ป่วย ติดตามอาการและเป็นช่องทางติดต่อกรณีฉุกเฉิน แต่เนื่องจากขณะนี้นโยบายของภาครัฐยังยืนยันว่า ผู้ป่วยทุกรายจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลภายใต้การดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น จึงนำข้อปฏิบัติบางส่วนมาใช้สำหรับผู้ป่วยที่กำลังรอประสานเตียงในโรงพยาบาล
สำหรับปัญหาที่ผู้ติดเชื้อหลายราย ยังหาเตียงไม่ได้ เพราะจำนวนเตียงไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ป่วยนั้น อธิบดีกรมการแพทย์ ยืนยันว่า ขณะนี้มีเตียงรองรับผู้ป่วยถึง 9,317 เตียง และกำลังขยายเตียงเพิ่มขึ้น ส่วนสาเหตุที่ผู้ป่วยบางราย ไม่ได้เข้าโรงพยาบาล เนื่องจาก มีหลายคนไปตรวจหาเชื้อที่แล็บเอกชน ซึ่งไม่มีโรงพยาบาล เมื่อพบว่า ติดเชื้อ ก็ไม่สามารถแอดมิทได้ เช่นเดียวกับการไปตรวจเชิงรุก ที่จะต้องรอผลตรวจที่บ้าน เมื่อพบว่าติดเชื้อ ก็ต้องรอการประสานขอรถพยาบาลไปรับ ซึ่งตามนโยบายระบุว่า โรงพยาบาลและแล็บของเอกชนที่ตรวจผู้ป่วยติดเชื้อ จะต้องประสานเครือข่ายในการรับผู้ติดเชื้อทุกรายเข้ารักษา
ส่วนแนวทางการบริหารจัดการเตียง มีหลักคือ
1.ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก กรณีที่มีความรุนแรงสีเขียว คือไม่มีอาการมาก ให้กรุงเทพมหานครรับไว้ในโรงพยาบาลสนาม
2.กรณีไปตรวจหาเชื้อจากโรงพยาบาลและแล็บเอกชนทุกที่ ถ้าระดับความรุนแรงสีเขียวจะรับไว้ในHospital แต่ถ้ามีอาการมากหรืออยู่ในระดับเหลือง-แดง จะรับไว้ในโรงพยาบาล
3.ให้โรงพยาบาลทุกสังกัดให้สำรองห้องไอซียู โดยกรมการแพทย์เป็นหน่วยบริหารจัดการ
4.ส่วนภูมิภาคและปริมณฑล อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ส่วนรถรับผู้ป่วยติดเชื้อไปโรงพยาบาล ขณะนี้มีรถนำส่งจำนวน 50 คัน จาก 3 บริษัท และจะเพิ่มเป็น 100 คันทั่วประเทศ สำหรับรับผู้ป่วยโควิด-19 โดยเฉพาะ
ด้าน นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ขณะนี้มีโรงพยาบาลสนามในกรุงเทพฯ สำหรับรองรับผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 1,656 เตียง มีการใช้งานรับผู้ป่วยไปแล้ว 1,275 เตียง และยังเหลืออีกกว่า 300 เตียง รวมทั้งจะมีการจัดฮอสพิเทล และขยายเตียงโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม ซึ่งในขณะนี้มีผู้ป่วยที่ตกค้างที่บ้าน 505 เตียง ซึ่งจะเร่งบริหารจัดการการรับผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการอนุมัติให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถขยายเตียงได้เพิ่มเติม เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ระดับสีเหลืองและสีแดง และยังเตรียมดัดแปลงสถานที่กักตัวแบบทางเลือก ซึ่งเป็นโรงแรมต่างๆ มาเป็นฮอสพิเทล ซึ่งมีโรงพยาบาลเอกชนร่วมกับโรงแรมสมัครเป็นฮอสพิเทลและผ่านการรับรองแล้ว 34 แห่ง กว่า 7,000 เตียง มีผู้ป่วยเข้าพักแล้วประมาณ 2,000 คน ซึ่งเป็นผู้ป่วยแบบไม่มีอาการ
ส่วนผู้ป่วยที่ไปตรวจคลินิกแล็บเอกชนและทราบผลว่าติดเชื้อ แล็บเอกชนนั้นๆ จะต้องเป็นผู้ประสานผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล ซึ่งมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขบังคับใช้ หากแล็บใดไม่ประสานผู้ป่วยส่งต่อโรงพยาบาล ถือว่าแล็บแห่งนั้นมีความผิดตามกฎหมาย โดยวันที่ 20 เม.ย.64 จะมีการประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับคลินิกแล็บเอกชนต่างๆ เพื่อวางแนวทางให้ชัดเจน และแล็บที่จะตรวจหาเชื้อโควิด-19 จะต้องมี MOU กับโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อส่งต่อผู้ป่วยได้