นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความมั่นใจในมาตรการของคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ ศบค. ที่มีมติให้ปรับระดับของพื้นที่สถานการณ์ทั่วประเทศ และการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดจากผู้ติดเชื้อแบบไม่มีอาการ ที่จะเดินทางกลับหลังเทศกาลสงกรานต์ และลดการแพร่เชื้อที่เชื่อมโยงจากสถานบันเทิง การรวมกลุ่มสังสรรค์ และปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการระบาดในวงกว้าง คาดว่าจะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างรวดเร็ว และไม่แพร่กระจายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลตัดสินใจหลีกเลี่ยงที่จะออกมาตรการล็อกดาวน์ หรือเคอร์ฟิว เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชนมากเกินไป แต่รัฐบาลยังคงต้องขอความร่วมมือจากประชาชนอีกครั้ง ในการร่วมมือกันปฎิบัติตามมาตรการที่ ศบค.กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในระลอกนี้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะยังสามารถขยายตัวได้ในปี 2564 นี้ เนื่องจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งภายในปีนี้ ประเทศไทยจะได้รับวัคซีนโควิด-19 ไม่น้อยกว่า 63 ล้านโดส ที่รัฐบาลได้สั่งจองไปแล้ว และที่นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 10 ล้านโดส สำหรับใช้ในสถานพยาบาลของรัฐ รวมทั้งวัคซีนทางเลือกเพื่อนำมาให้บริการในโรงพยาบาลเอกชน จึงสามารถฉีดวัคซีนให้กับประชาชนตามที่วางแผนไว้ คือ ประชาชนในประเทศไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคนภายในปี 2564 นี้
ขณะที่การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาดในระลอกนี้ รัฐบาลยังมีเงินเกือบ 3.8 แสนล้านบาท สำหรับนำมาใช้เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แยกเป็นเงินจำนวน 2.4 แสนล้านบาทจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีเงินจากงบกลางปี 2564 ในส่วนของเงินสำรองจ่ายเพื่อการฉุกเฉินและจำเป็นอีก 98,500 ล้านบาท และงบสำหรับบรรเทาโควิด-19 อีก 36,800 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน