นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก "อนุทิน ชาญวีรกูล" กรณีที่ไม่มีรายชื่ออยู่ในคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ว่าเป็นการแบ่งงานกันทำเพื่อจัดหาวัคซีนและบริหารจัดการวัคซีนไปถึงประชาชนโดยเร็วที่สุด และขอว่าอย่ามองทุกเรื่องเป็นเรื่องการเมือง โดยระบุว่า
"ร่วมมือร่วมใจ เพื่อคนไทยปลอดภัย
มีข่าวทางสื่อมวลชนว่า นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนโควิดฯ โดยไม่มีผมในฐานะรมว.สาธารณสุข รวมอยู่ด้วย แล้ววิเคราะห์กันว่า เป็นความขัดแย้งในรัฐบาล หรือ ความไม่ไว้ใจให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ นายกรัฐมนตรี จึงตั้งคณะทำงานฯ มาทำหน้าที่แทนกระทรวงสาธารณสุข
ขอเรียนชี้แจงว่า คณะทำงานฯ คณะนี้ ประกอบด้วย ฝ่ายวิชาการ ภาครัฐ และภาคเอกชน แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของรัฐบาล เพื่อสนับสนุนการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข สามารถระดมความร่วมมือจากทุกส่วนราชการและภาคเอกชนได้มากกว่ากระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการหน่วยงานเดียว จึงเป็นเรื่องที่ดีที่ทุกฝ่ายจะมีส่วนร่วมกับการแก้ปัญหาของประเทศ
รูปแบบการทำงานในขณะนี้ เป็นการร่วมมือกันทำงาน ช่วยกันทำงาน เพื่อประชาชนและประเทศชาติไม่ใช่การแย่งงานกันทำ แต่เป็นการแบ่งงานกันทำ
คณะทำงานฯ ทำหน้าที่วางแนวทาง มาตรการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมมาให้บริการประชาชน
กระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่จัดซื้อวัคซีนและบริหารจัดการวัคซีนไปให้ถึงประชาชนเร็วที่สุด โดยมีสถานพยาบาลภาครัฐ และ ภาคเอกชน ร่วมกันฉีดวัคซีน ให้แก่ประชาชนตามแผนการฉีดวัคซีนที่กรมควบคุมโรค จัดทำไว้ ซึ่งคาดว่าจะฉีดให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้ครบถ้วน ภายในเดือนตุลาคมนี้
ผมขอเรียนว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข สั่งซื้อวัคซีนมาให้ประชาชนแล้วจำนวน 63 ล้านโดส
ขณะนี้มาถึงประเทศไทย แล้ว 2.117 ล้านโดส
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เป็นต้นไป จะมีวัคซีนให้บริการประชาชน เดือนละ 5-10 ล้านโดส จนครบตามจำนวนที่สั่งซื้อไว้ คือ 63 ล้านโดส
รวมแล้ว กระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งซื้อวัคซีนมาให้ประชาชนจำนวน 63 ล้านโดส สามารถฉีดให้ประชาชน 31.5 ล้านคน ในขณะที่ ทางวิชาการเราต้องฉีดวัคซีนให้ประชาชนประมาณ 40 ล้านคน หรือประมาณ 60 % ของประชากรทั้งประเทศ และชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทยอีกจำนวนหนึ่ง
ดังนั้น ในปีนี้เราจะต้องใช้วัคซีน จำนวน 80ล้านโดส สั่งซื้อมาแล้ว 63 ล้านโดส จึงต้องสั่งซื้อวัคซีน สำหรับคนไทย เพิ่มอีกประมาณ 17 ล้านโดส และอีกจำนวนหนึ่งสำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นภารกิจของคณะทำงานพิจารณาจัดหาวัคซีนฯ
มีเกร็ดๆ เล็กแต่มีความหมายมาก สำหรับการบริหารวัคซีนแอสตราเซเนกา ที่กระทรวงสาธารณสุข สั่งซื้อมา 61 ล้านโดส ผู้ผลิตใส่ขวดละ 6.5 ซีซี มาให้ จำนวน 6.1 ล้านขวด ซึ่งทีมแพทย์ พยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข สามารถฉีดให้ผู้รับวัคซีนได้ขวดละ 12 โดส มากกว่าที่กำหนดไว้ถึง 2 โดส ต่อขวด
ดังนั้น วัคซีนแอสตราเซเนกา 6.1 ล้านขวด หากจัดการให้ดี จะฉีดให้ประชาชน ได้เพิ่มขึ้น 12.2 ล้านโดส หรือ 6.1 ล้านคน ถ้าทำได้ตามที่เตรียมการ และซักซ้อมกันไว้วัคซีนที่สั่งซื้อไว้แล้วจะครอบคลุมประชากรที่ต้องรับวัคซีนได้เกือบทั้งหมดขาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากทำได้ตามนี้จะเป็นการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
ภารกิจหลักของกระทรวงสาธารณสุข นับแต่นี้ไป จึงเป็นการบริหารจัดการกระจายวัคซีน 63 ล้านโดส ไปฉีดให้แก่ประชาชนในทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด ของประเทศไทย ตามแผนควบคุมโรคให้ได้เร็วที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ผมสั่งการให้ทุกสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ฉีดได้เสร็จก่อนเวลาที่กำหนด รวมทั้งขอความร่วมมือสถานพยาบาลของทุกหน่วยงานภาครัฐ และ โรงพยาบาลเอกชน ช่วยกันฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนด้วย
วัคซีนจำนวน 63 ล้านโดส ที่สั่งซื้อมาแล้ว เป็นวัคซีนที่รัฐบาลจัดซื้อมาด้วยงบประมาณแผ่นดิน เพื่อฉีดให้ประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ และ หากมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ รัฐบาลจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล ถึงแม้ว่าผู้ผลิตวัคซีนจะไม่รับผิดชอบ เพราะเป็นการฉีดวัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ตาม
ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ได้ประเมินเบื้องต้นแล้วว่า การสั่งซื้อวัคซีน 63 ล้านโดส ในขณะนี้ เพียงพอที่จะให้บริการคนไทย หากจะขาดก็เพียงไม่มากนัก และได้พยายามจัดซื้อมาตลอด แต่ยังจัดซื้อเพิ่มเติมไม่ได้ เพราะผู้ผลิตวัคซีนยังผลิตวัคซีนได้ไม่ทันกับคำสั่งซื้อที่ทุกประเทศทั่วโลก มีความต้องการวัคซีน มากกว่ากำลังผลิต เป็นจำนวนมากหลายเท่าตัว
กระทรวงสาธารณสุข จะสนับสนุนการทำงานของคณะทำงานฯ เพื่อให้การบริหารจัดการวัคซีนของประเทศไทย ทั้งระบบ มีประสิทธิภาพ และเพียงพอ กับบริการประชาชนคนไทย และคนต่างชาติทุกคน ที่อยู่ในประเทศไทย ตามปรัชญาการควบคุมโรค ที่องค์การอนามัยโลก บอกว่า “ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครจะปลอดภัย จนกว่าทุกคนจะปลอดภัย” หมายความว่าเราต้องทำให้ทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยและจะต้องได้รับวัคซีน ต้องได้รับวัคซีนครบถ้วน โดยไม่เลือกสัญชาติใดๆ
ขอชี้แจงสาระสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ วัคซีนโควิดทุกตัว ที่มีการใช้อยู่ในขณะนี้ เป็นวัคซีนใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ใช้ไปศึกษาไป รายงานผลกันไป ยังไม่ใช่วัคซีนที่สมบูรณ์เหมือนวัคซีนอื่นๆ และ วัคซีนมีอายุใช้งานเพียง 6เดือน เท่านั้น เป็นเหตุผลที่กระทรวงสาธารณสุข ไม่จัดซื้อมาสำรองเป็นจำนวนมาก เพราะหากฉีดไม่ทัน จะสิ้นเปลืองงบประมาณ และหากเชื้อโรคกลายพันธุ์ ต้องใช้วัคซีนใหม่ ก็จะต้องซื้อวัคซีนใหม่ โดยที่วัคซีนเดิมใช้ไม่หมด และใช้ไม่ได้จะเป็นการสูญเสียงบประมาณอีก
ขอเรียนว่าในคณะทำงานฯ มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขและผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุขหลายท่านเป็นผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขร่วมเป็นคณะทำงานฯ แล้ว
ผมได้ให้นโยบายทุกท่านสนับสนุน ร่วมมือกับคณะทำงานฯ เพื่อการกำหนดมาตรการ และแนวทางการจัดหาวัคซีน เพื่อประโยชน์ของประชาชน เป็นลำดับแรก
ขอความกรุณาอย่ามองทุกเรื่องเป็นการเมือง เป็นความขัดแย้ง
ผมไม่เคยนำเรื่องสุขภาพ และ ชีวิตของประชาชน มาเป็นเงื่อนไขทางการเมือง และ ไม่เคยคิดเอาการเมืองมาใส่ในสถานการณ์โรคระบาด
ผมสนับสนุนการทำงานของทุกคน ทุกหน่วย ทุกฝ่าย เพื่อที่จะนำพาประชาชนและประเทศไทยผ่านวิกฤติโรคระบาด ครั้งนี้ไปได้ด้วยความปลอดภัย
#คนไทยรวมใจเพื่อคนไทยปลอดภัย
...