องค์การแอมเนสตี้สากล เปิดเผยรายงานที่ระบุว่า สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในสหรัฐอเมริกาอยู่ในระดับ “เสื่อมโทรม” ในปี 2563 เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 และการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีมีการแสดงความเห็นในเชิงยั่วยุบ่อยครั้ง ทำให้ความกังวลด้านสิทธิมนุษยชนเพิ่มสูงขึ้น โดยมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและสีผิว ตลอดจนการต่อต้านความโหดร้ายของตำรวจอย่างกว้างขวาง การสังหารพลเรือนอย่างผิดกฎหมาย การเรียกร้องสิทธิของกลุ่มแอลจีบีทีคิว และสิทธิในการชุมนุมอย่างสันติ นางโจแอน ลิน ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนระดับชาติของแอมเนสตี้ เปิดเผยว่า ประวัติศาสตร์อเมริกาสร้างขึ้นจากการรับประกันสิทธิในการชุมนุมอย่างสันติ การพูดและการแสดงออกอย่างเสรี แต่สิทธิเหล่านี้ถูกละเมิดในช่วงวิกฤต มีการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลโดยอ้างอิงจากเชื้อชาติ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมและลักษณะอื่น ๆ นอกจากนี้โรคระบาดยังมีผลกระทบต่อผู้ต้องขังที่เป็นบุคคลผิวสีซึ่งไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ที่ถูกสุขอนามัย
ในรายงานระบุว่าปี 2563 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่นายทรัมป์อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯเป็นปีที่ปัญหาสิทธิมนุษยชนอยู่ในระดับที่น่าหดหู่ใจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งแอมเนสตี้ตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,000 คนจากการที่ถูกตำรวจยิง และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นบุคคลผิวสี นอกจากนี้อาชญากรรมความเกลียดชังจากรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศยังคงอยู่ในระดับสูง
นางลินกล่าวด้วยว่า จุดเด่นประการหนึ่งของรัฐบาลนายโจ ไบเดน คือวิธีที่รัฐบาลปฏิบัติต่อผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัยและผู้คนในการแสวงหาความคุ้มครองด้านมนุษยธรรม มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดก่อน แต่ก็ยังมีงานอีกมากมายที่รออยู่ข้างหน้า
...