*อัยการสุงสุด สั่งฟ้องยิ่งลักษณ์ต่อศาลฎีกานักการเมืองคดีจำนำข้าว*

23 มกราคม 2558, 09:35น.


หลังการประชุมร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. หลายครั้ง นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานสอบสวน  อัยการสูงสุด เปิดเผยว่า นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ได้ลงนามในคำสั่ง สั่งฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีไม่ระงับยับยั้ง โครงการรับจำนำข้าว ตามที่ปปช. ได้ชี้มูลความผิด          



ก่อนที่ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะลงมติลับ เพื่อถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในวันนี้ เวลา 10.00 น. โดยเมื่อวานนี้   นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการ ป.ป.ช.แถลงปิดคดี  ย้ำ โครงการรับจำนำข้าว เป็นการใช้โครงการหาเสียงให้พรรคเพื่อไทย ในรูปแบบประชานิยมซื้อใจชาวนา จได้เป็นรัฐบาล โดยกำหนดราคาข้าวสูงกว่าตลาดและรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ให้ราคาข้าวสูงกว่าตลาดกว่าเท่าตัว เป็นการบิดเบือนกลไกตลาด จนมีข้าว 10 ล้านตันอยู่ในโกดังรัฐบาลและโรงสีที่เช่า ทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ค้ารายใหญ่ ซึ่งป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่ามีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง เล่นแร่แปรธาตุ ทำกันเป็นกระบวนการเพื่อเอื้อประโยชน์ ให้ตัวเองและพวกพ้อง เรียกได้ว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย คือขายให้พวกพ้องในราคาถูก และนำไปขายในราคาแพงมหาศาล โดยอ้างว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งไม่เป็นความจริง กระทั่งมีการชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา คาดจะขาดทุน 7 แสนล้านบาท



ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แถลงปิดคดีโดยยืนยันความบริสุทธิ์และความเป็นธรรมของตัวเอง พร้อมเรียกร้องให้สมาชิก สนช.ใช้ดุลพินิจที่ถูกต้อง เที่ยงธรรม ไม่ถูกชี้นำจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  การ ตั้งข้อกล่าวหาของป.ป.ช.ว่า มีพิรุธที่ไม่สมควรให้ดำเนินการถอดถอน เพราะรัฐธรรมนูญ ปี 2550 สิ้นสุดลงแล้ว เหลือเพียงกฎหมายของป.ป.ช. ที่ให้อำนาจถอดถอนเท่านั้น ยืนยันด้วยว่า โครงการรับจำนำข้าวทำให้มีเงินหมุนเวียนในประเทศเป็น 2.7 % ของจีดีพีของประเทศ และใช้เงินไม่เกิน 5 % ของงบประมาณ ชาวนากินดีอยู่ดี มีเงินหมุนเวียนในการดำรงชีวิต สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของนโยบายดังกล่าว และมีหนี้สาธารณะรวมทั้งสิ้นเพียง 45% ไม่ชนเพดานหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ 60 % ดังนั้น วินัยการเงินการคลังของรัฐบาลของตนนั้น มีความมั่นคง

ข่าวทั้งหมด

X