ทันสถานการณ์โลกเวลา06.30 น.วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564

01 เมษายน 2564, 06:10น.


หญิงที่ถูกวิสามัญ หน้าสนง.ตร.ในอินโดฯ มีความศรัทธากลุ่มไอเอส



          อินโดนีเซีย เปิดเผยรายละเอียดเหตุการณ์ตำรวจวิสามัญหญิงคนหนึ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในกรุงจาการ์ตา พล.ต.อ.ลิสตีโอ ซีกิต ปราโบโว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 16.30 น. ผู้ก่อเหตุเป็นหญิงอายุ 25 ปี มีความศรัทธาในแนวคิดของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส เดินมาที่ประตูหลักของอาคารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนจะยิงปืน 6 นัด ทำให้ตำรวจต้องยิงตอบโต้ ทำให้ผู้ก่อเหตุเสียชีวิต



          จากการสืบสวนเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่พบว่า โพสต์สุดท้ายในอินสตาแกรมของหญิงรายนี้ เธอโพสต์รูปธงของกลุ่มไอเอส และยังส่งข้อความหาครอบครัวผ่านวอตส์แอปป์ เพื่อบอกลาด้วย นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจค้นบ้านและพบพินัยกรรมของคนร้ายด้วย  



          พล.ต.อ.ปราโบโว สั่งการให้หน่วยพิเศษต่อต้านการก่อการร้ายหมายเลข 88 หรือหน่วย ‘เดนซุส 88’ ตรวจสอบหาความเป็นไปได้ว่า หญิงรายนี้อาจเป็นสมาชิกของเครือข่ายก่อการร้ายหรือไม่ และสั่งให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความระมัดระวังระหว่างปฏิบัติหน้าที่ด้วย



          อินโดนีเซียตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มไอเอสหลายครั้งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 มี.ค.64 เพิ่งเกิดเหตุสามีภรรยาคู่หนึ่ง จุดระเบิดฆ่าตัวตายที่โบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองมากัซซาร์ บนเกาะสุลาเวสี ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 20 คน อาหารสาหัสหลายคน ขณะที่คนร้ายทั้งสองคนเสียชีวิต ผลการสืบสวนในเวลาต่อมาทำให้ทราบว่า สามีภรรยาคู่นี้เป็นสมาชิกองค์กร ‘จามาอาห์ อันซารุต ดาอูลาห์’ (Jamaah Ansharut Daulah) กลุ่มหัวรุนแรงที่สนับสนุนกลุ่มไอเอส โดยตำรวจเตือนในเวลานั้นว่าอาจมีการโจมตีเกิดขึ้นอีก และพวกเขาสามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยได้นับสิบคนในเวลาต่อมา



‘ซูจี’ ขึ้นศาล วันนี้ ยืนยัน ต้องการพบทนาย เป็นการส่วนตัว



          นายมิน มิน โซ ซึ่งเป็นสมาชิกในคณะทนายความของนางอองซาน ซูจี ผู้นำรัฐบาลพลเรือนที่ถูกกองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจ หารือกับนางซูจี ผ่านระบบวิดีโอที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่งในกรุงเนปิดอว์ ระบุว่า นางซูจี มีสุขภาพแข็งแรงดี และต้องการจะพบกับคณะทนายความด้วยตัวเองและแบบเป็นการส่วนตัวและไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการพบหารือกับคณะทนายความผ่านทางระบบวิดีโอหรือประชุมทางไกลออนไลน์ ซึ่งมักจะมีตำรวจอยู่ในระหว่างที่เธอพบทนายความด้วย



          นางซูจี แจ้งแก่ นายมิน มิน โซว่า ในระหว่างที่พูดคุยกันนั้น ตำรวจยืนอยู่ข้างๆ ทนายความ ส่วนทางฝั่งเธอ มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยเฝ้าสังเกตการณ์ตลอดเวลา ซึ่งนางซูจี ได้ถามว่าลักษณะเช่นนี้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่



          วันนี้ นางซูจี มีกำหนดจะขึ้นศาลเพื่อไต่สวนในคดีที่เธอถูกกล่าวหาหลายคดี เช่น นำเข้าวิทยุสื่อสารวอล์คกี้ ทอล์คกี้ อย่างผิดกฎหมาย ละเมิดระเบียบการเว้นระยะห่างเพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และรับสินบนเป็นทองคำแท่งและเงิน



ชายอเมริกันที่ทำร้ายหญิงเชื้อสายเอเชียที่นิวยอร์ก เคยแทงแม่ตัวเองตาย



          กรมตำรวจนิวยอร์ก สหรัฐฯ แถลงว่า เจ้าหน้าที่จับนายแบรนดอน เอลเลียต วัย 38 ปี ชายผิวดำชาวเมืองนิวยอร์ก ที่ก่อเหตุทำร้ายร่างกายหญิงชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย วัย 65 ปี ใกล้จัตุรัสไทม์สแควร์นครนิวยอร์ก เพราะภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นขณะที่เขาเตะและกระทืบหญิงคนดังกล่าว ตำรวจตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยสาเหตุมาจากอาชญากรรมจากความชิงชัง จากการตรวจสอบพบว่า นายแบรนดอน มีประวัติเคยก่อคดีอาชญากรรม ถูกพิพากษาว่ากระทำผิดจริงฐานใช้มีดแทงแม่ของเขาเองจนเสียชีวิตในเขตบรองซ์ ของนิวยอร์ก เมื่อปี 2002 ขณะเขาอายุ 19 ปี และได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกเมื่อปี 2019 และขณะนี้อยู่ในฐานะที่ต้องทัณฑ์บนตลอดชีวิต



          สำหรับผู้ถูกทำร้าย ชื่อ วิลมา คารี อพยพมาจากฟิลิปปินส์ ลูกสาวของเธอแจ้งกับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ขณะที่เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำสหรัฐฯ เปิดเผยว่า หญิงผู้เคราะห์ร้ายเป็นคนสัญชาติอเมริกัน ล่าสุด ออกจากโรงพยาบาลแล้ว



          ภาพจากกล้องวงจรปิดของอาคารใกล้เคียงที่เกิดเหตุ แสดงให้เห็นคน 2 คน ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อาคารใกล้เคียง ไม่ได้เข้ามาห้ามหรือช่วยเหลือ จึงถูกตำรวจเรียกสอบสวนด้วย



          ขณะที่ บรอดสกี้ ออแกไนเซชั่น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้จัดการของอาคารใกล้จุดเกิดเหตุ เขียนบนอินสตาแกรมว่าพนักงาน 2 คนที่เห็นเหตุการณ์ จะถูกพักงานระหว่างการสืบสวน



         ด้านหัวหน้าสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้ง 2 คนโต้แย้งว่าสหภาพได้รับคำชี้แจงว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนได้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือแล้วในทันที



เริ่มสอบเหตุเรือเอเวอร์ กิฟเวน เกยตื้นขวางคลองสุเอซ



          เริ่มการสอบสวนอย่างเป็นทางการเพื่อที่จะหาสาเหตุเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ “เอเวอร์ กิฟเวน” แล่นเกยตื้นจนขวางคลองสุเอซ ปิดกั้นเส้นทางเดินเรือสายสำคัญของโลกนานเกือบ 1 สัปดาห์ ขณะที่เจ้าหน้าที่เร่งระบายเรือกว่า 400 ลำ คาดว่าสุดสัปดาห์นี้จะดำเนินการได้ทั้งหมด



         นายโอซามา ราบี ประธานสำนักคลองสุเอซ (เอสซีเอ) เปิดเผยว่า สภาพอากาศเช่นกระแสลมรวมถึงความผิดพลาดของคนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุขึ้น



          ส่วนกัปตันไซอิด เชียชา ที่ปรึกษาของประธานสำนักคลองสุเอซ เปิดเผยว่า การสอบสวนจะพิจารณาสภาพความพร้อมของเรือ การทำหน้าที่ของกัปตันเรือเอเวอร์ กิฟเวน ซึ่งกัปตันเรือก็ได้ให้ความร่วมมือในการสอบสวน



         บริษัทประกันภัยลอยด์แห่งลอนดอน ประเมินว่ามีความเสียหายจากเหตุการณ์นี้กว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ญี่ปุ่นเจ้าของเรืออ้างว่ายังไม่ได้รับรายงานการทำเรื่องร้องขอเรียกค่าเสียหาย



3 เม.ย. เริ่มล็อกดาวน์รอบ 3 ! ฝรั่งเศส ห้ามออกจากบ้าน-ปิดเรียน 3 สัปดาห์  



          หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นจากเมื่อเดือน ก.พ. 64 กว่าเท่าตัว อยู่ที่เกือบ 40,000 คน ขณะที่ จำนวนผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวในห้องไอซียูก็ทะลุ 5,000 คนแล้ว ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส แถลงผ่านทางสถานีโทรทัศน์ ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศเป็นครั้งที่ 3 เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 64 และจะบังคับใช้อย่างน้อยเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อรับมือกับการระบาดระลอกที่ 3 ที่ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งต้องแบกรับภาระอย่างหนัก และการกระจายวัคซีนล่าช้า



         นายมาครง กล่าวว่า สถานการณ์ในประเทศตอนนี้อยู่ในสภาพเปราะบาง และเดือนเม.ย.64 เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก จึงต้องดำเนินมาตรการทันทีในขณะนี้ มิเช่นนั้นอาจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้



          มาตรการล็อกดาวน์ที่ประชาชนจะต้องปฎิบัติเพื่อควบคุมสถานการณ์การติดเชื้อ



-ห้ามประชาชนเดินทางห่างจากบ้านของตัวเองเกิน 10 กม.โดยไม่มีเหตุอันควร



-ปิดร้านค้าที่ไม่สำคัญ ซึ่งบังคับใช้ในกรุงปารีสและบางจังหวัดในภาคเหนือและภาคใต้ไปก่อนหน้านี้ และจะบังคับใช้ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 3 เม.ย.64



-โรงเรียนทั่วประเทศจะต้องหยุดการเรียนการสอนเป็นเวลา 3 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่สัปดาห์หน้า นักเรียนจะเปลี่ยนมาใช้การศึกษาทางไกลแทนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ก่อนที่โรงเรียนทุกแห่งจะเข้าสู่ช่วงวันหยุด 2 สัปดาห์ จากนั้น นักเรียนชั้นเนอสเซอรี่และประถมจะได้กลับเข้าเรียนในโรงเรียน ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมยังต้องศึกษาทางไกลต่ออีก 1 สัปดาห์



 



 



 



 

ข่าวทั้งหมด

X