ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. เป็นประธาน ได้เห็นชอบตามที่ศบค.ชุดเล็กเสนอ เรื่องการตรวจค้นหาเชื้อชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย แบ่งเป็น
-กลุ่มที่ 1 จะมีการกักตัวเพียง 7 วัน หากเป็นชาวต่างชาติ จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 14 วันก่อนการเดินทาง
-กลุ่มที่ 2 รับการกักตัว 10 วัน กลุ่มนี้จะเป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนมาแล้วแต่ยังไม่ถึง 14 วันก่อนการเดินทาง หรือได้รับวัคซีนยังไม่ครบ 2 โดส และ
-กลุ่มที่ 3 เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีรายงานสายพันธุ์กลายพันธุ์ กลุ่มนี้จะต้องมีการกักตัวอย่างน้อย 14 วัน เช่น สายพันธุ์แอฟริกา บราซิล อังกฤษ หรือในอนาคตอาจมีสายพันธุ์ที่เพิ่มเติม
นอกจากนั้น ใน กรณีแรกชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาจะต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 และยืนยันไม่มีรายงานการติดเชื้อคือเป็นลบ จึงสามารถเดินทางเข้าประเทศ กลุ่มนี้จะตรวจผลโควิด-19 ครั้งที่หนึ่งในวันที่ 5-6 แต่สำหรับกรณีคนไทยที่เดินทางกลับบ้าน ซึ่งไม่ได้ตรวจโควิด-19 ก่อนเดินทาง จะตรวจหาโควิดแบบสวอปตั้งแต่วันแรกที่เดินทางถึงประเทศไทยและตรวจอีกครั้งในวันที่ 5-6 นี่คือกลุ่มกักตัว 7 วัน
ส่วนกลุ่มที่มีการกักตัว 10 วันจะตรวจโควิด 2 ครั้ง ครั้งแรกคือวันที่ 3-5 และตรวจอีกครั้งวันที่ 9-10
กลุ่มสุดท้ายที่กักตัว 14 วัน จะตรวจหาโควิด โดยวิธีการสวอป 3 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งคือวันที่เดินทางถึงประเทศไทยในวันแรก ครั้งที่สองในวันที่ 6-7 และครั้งที่สามคือวันที่ 12-13 ทุกกลุ่มยังมีกำหนดด้วยว่าจะต้องอนุญาตให้มีระบบติดตามตัวจนครบ 14 วันถึงแม้ว่าจะออกจากสถานกักกันไปแล้ว มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย.
ก่อนหน้านี้ พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า ทั้ง 3 กลุ่ม จะมีการนับเวลาของวันเริ่มที่เที่ยงคืนถึง 6 โมงเย็น หมายความว่า หากเดินทางมาถึงประเทศไทยตอน 18.00 น. จะนับวันเดินทางที่เดินทางถึงเป็นวันที่หนึ่งในการเข้าสู่สถานกักกัน แต่ถ้าเดินทางถึงประเทศไทยเวลา 19.00 น. จะนับวันที่หนึ่งของการกักตัวเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากที่มาถึงประเทศไทย