เคสศึกษา ! การติดเชื้อที่ ASQ จ.สมุทรปราการเชื่อมโยงไปถึงเพื่อน-ครอบครัว
ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในวันนี้ 42 คน เมื่อแบ่งเป็นรายจังหวัด จะพบว่า
-จ.สมุทรสาคร มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11 คน
-กรุงเทพมหานคร มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10 คน
-ที่น่าสังเกตคือ มีเด็กและเยาวชนที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยเป็นการติดเชื้อจากคนในครอบครัว
ที่ประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดเล็ก มีความเป็นห่วงกรณีการติดเชื้อที่จังหวัดสมุทรปราการ เริ่มจากหญิงไทย อายุ 28 ปี ที่ติดเชื้อแล้ว มีพฤติกรรมไม่ระวังตัว ทำให้มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 5 คน ในจำนวนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงนี้ พบว่ามี 1 คน ที่ติดเชื้อ เป็นเพื่อนร่วมงานหญิง อายุ 28 ปี กลายเป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 2 ซึ่งผู้ติดเชื้อรายนี้ นำเชื้อไปแพร่ยังคนในครอบครัวและคนรอบข้างอีก เช่น น้องสาว ลูกชายอายุ 1ขวบ 7เดือน และพี่เลี้ยงเด็ก รวมทั้งสามีของผู้ป่วยหญิงรายแรก ก็ติดเชื้อด้วย ซึ่งขณะนี้กรมควบคุมโรคและสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการกำลังเร่งสอบสวนโรคเพิ่มเติม ถือเป็นกรณีศึกษาให้ประชาชนระมัดระวังตัว
ตำรวจ-แม่ครัว-แม่บ้าน ในศูนย์กักกัน ติดเชื้อจากผู้ต้องกัก
การติดเชื้อภายในห้องกักบางเขน ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งจากการสอบสวนโรค พบว่านอกจากผู้ต้องกักที่ติดเชื้อแล้ว ยังมีการแพร่ไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติหน้าที่ คือ ตำรวจ 3 นาย และยังมีบุคลากรที่ทำงานในห้องกัก เช่น แม่ครัว ที่อยู่แผนกปรุงอาหารและเสิร์ฟอาหารให้ผู้ต้องกัก หรือแม่บ้านที่ทำความสะอาด ก็ติดเชื้อไปด้วย จึงนำไปสู่การวางแผนกระจายวัคซีนให้กับบุคลากรส่วนต่างๆ ในหลายสาขา ที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสโรค
เตรียมจัดสรรวัคซีนอีก 160,000 โดส ให้ 52 จังหวัด เน้นพื้นที่เสี่ยง
วัคซีนซิโนแวค จำนวน 800,000 โดส ที่จะกระจายในเดือนเม.ย.64
- จัดสรรให้พื้นที่ที่มีการระบาด เช่น สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร ตาก ปทุมธานี สมุทรปราการ และนนทบุรี จำนวน 350,000 โดส
- จัดสรรให้จังหวัดท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ จำนวน 240,000 โดส ใน 8 จังหวัด คือ ชลบุรี (รวมพัทยา) ระยอง เชียงใหม่ ขอนแก่น กระบี่ พังงา เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต
-จัดสรรให้ 8 จังหวัดชายแดน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ จำนวน 50,000 โดส คือ สงขลา สระแก้ว เชียงราย มุกดาหาร นราธิวาส ระนอง หนองคาย และจันทบุรี
นอกจากนี้ ยังจัดสรรเพิ่มเติมอีก 160,000 โดส กระจายไปยังกลุ่มเป้าหมาย 52 จังหวัด โดยจะกระจายในประชาชนทั่วไปและอาสาสมัครที่ต้องทำหน้าที่ควบคุมโรค แบ่งเป็น
-จังหวัดขนาดเล็ก จำนวนประชากรน้อยกว่า 1,000,000 คน จำนวน 1,800 โดส (ประชาชน 800 โดส- อาสาสมัคร 1,000 โดส)
-จังหวัดขนาดใหญ่ จำนวนประชากรมากกว่า 1,000,000 คน – 1,500,000 คน จำนวน 2,000 โดส (ประชาชน 1,000 โดส- อาสาสมัคร 1,000 โดส)
-จังหวัดขนาดใหญ่พิเศษ จำนวนประชากรมากกว่า 1,500,000 คน จำนวน 2,200 โดส (ประชาชน 1,200 โดส- อาสาสมัคร 1,000 โดส)
สหรัฐฯตั้งกองทุนช่วยเหยื่อที่ถูกทำร้ายในครอบครัว-ชุมชน
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวถึง คดีอาชญากรรมที่เกิดจากอคติและความเกลียดชังทางเชื้อชาติและศาสนาซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้โดยกลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียกลายเป็น เป้าหมายหลัก ว่าการกระทำแบบนี้ไม่ใช่วิถีของชาวอเมริกัน และย้ำการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อปรับทัศนคติการเกลียดและความหวาดกลัวต่างชาติที่เป็นผลจากวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 และจัดสรรงบประมาณเป็นกรณีพิเศษเพื่อจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น
มาตรการของนายไบเดน รวมถึงการตั้งกองทุนวงเงิน 49.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 1,551.33 ล้านบาท ) เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาให้กับโครงการระดับชุมชนและเฉพาะท้องถิ่นในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครัวเรือน เหตุร้ายในชุมชน และอาชญากรรมทางเพศ
ขณะที่นายเมอร์ริค การ์แลนด์ รมว.กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ ประกาศว่าเป้าหมายเร่งด่วน 30 วัน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของกระบวนการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมจากความเกลียดชัง โดยข้อมูลจากศูนย์เพื่อการศึกษาด้านความเกลียดชังและความรุนแรง ระบุว่า อาชญากรรมจากอคติที่มีต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียในเมืองใหญ่ 16 อันดับแรกของสหรัฐฯมีสถิติเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 149 จากปี 2562
ตำรวจนครนิวยอร์ก ติดประกาศขอเบาะแสจากประชาชนจากเหตุการณ์ทำร้ายหญิงชาวเอเชีย วัย 65 ปี พร้อมรางวัลนำจับ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 78,381.25 บาท ) ความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลวอชิงตันต่อปัญหานี้ เกิดขึ้นในขณะที่ตำรวจนครนิวยอร์กกำลังไล่ล่าตัวผู้ต้องสงสัย 2 กรณีเมื่อวันที่ 29 มี.ค.64 คือ
-ชายก่อเหตุทำร้ายหญิงชาวเอเชีย วัย 65 ปี กลางย่านไทม์สแควร์ ในนครนิวยอร์ก
-ชายที่ทำร้ายชายชาวเอเชียในขบวนรถไฟใต้ดิน โดยนายบิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหนักและตำหนิคนที่เห็นเหตุการณ์จำนวนมากไม่เข้าไปช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้าย
‘เมเจอร์’ สุนัขของประธานาธิบดีสหรัฐฯ กัดคนอีกครั้งที่ทำเนียบขาว
‘เมเจอร์’ สุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด วัย 3 ขวบ ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อผู้อื่นอีกครั้ง หลังจากที่กระโดด เห่าและกัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งทำให้ต้องถูกส่งกลับไปที่เดลาแวร์เมื่อต้นเดือนนี้ แต่เมื่อกลับมาทำเนียบขาวอีกครั้ง เมเจอร์ก็กัดพนักงานทำสวน
โฆษกของนางจิล ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง กล่าวว่า เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ (29 มี.ค.) ผู้ที่ถูกเมเจอร์กัดไปพบแพทย์ของทำเนียบขาวแล้ว จากนั้นก็กลับไปทำงาน โดย เมเจอร์กำลังพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่และเขาก็ “สะกิด” ใครบางคนขณะเดินเล่น แต่ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า พนักงานทำสวนจากกรมอุทยานถูกเมเจอร์กัดขณะที่เขากำลังทำงานอยู่ที่สนามหญ้าทางใต้และต้องหยุดการทำงานเพื่อไปรับการรักษา
เมเจอร์และแชมป์เป็นสุนัข 2 ตัวของประธานาธิบดีไบเดน ที่ถูกย้ายไปที่บ้านของครอบครัวไบเดนในวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์หลังจากที่เมเจอร์เห่าและกัดเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและหน่วยรักษาความปลอดภัย ซึ่งประธานาธิบดีไบเดน กล่าวว่า เมเจอร์เป็นสุนัขที่น่ารัก และร้อยละ 85 ของเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวก็รักเมเจอร์