เสริมเฮลิคอปเตอร์-เสริมกำลัง จำกัดพื้นที่ไฟไหม้ป่าที่อ.สะเมิง เชียงใหม่
นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า หลังจากเกิดจุดความร้อนในเขตพื้นที่ อ.สะเมิง ตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ 29 มี.ค.64 จำนวน 7 จุด ในเขตป่าอนุรักษ์ ต.สะเมิงใต้ จำนวน 3 จุด เขตป่าอนุรักษ์ ต.สะเมิงเหนือ จำนวน 1 จุด และเขตป่าสงวนฯ ซึ่งเป็นพื้นที่บริหารจัดการเชื้อเพลิงอีก 3 จุด โดยหนักสุดพื้นที่บ้านศาลา-ป่ากล้วย หมู่ 4 ต.สะเมิงใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ลาดชัน เป็นผาหิน มีลักษณะเป็นป่าไผ่แห้ง และไม่มีการเผาไหม้มาประมาณ 3 ปี ทำให้ไม่สามารถดับไฟได้รวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนระดมกำลังร่วมเฝ้าระวังและจัดทำแนวกันไฟในพื้นที่โดยรอบ และมีการเสริมกำลังเฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 ลำ ขึ้นปฏิบัติการดับไฟจำนวน 50 เที่ยว และเช้านี้ได้เพิ่มกำลังเฮลิคอปเตอร์เป็น 3 ลำ เข้าดับไฟ และเสริมกำลังเจ้าหน้าที่อีก 120 นาย ร่วมทำแนวกันไฟเพิ่มเติม คาดว่า จะสามารถจำกัดพื้นที่เผาไหม้จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ในวันนี้
ในส่วนของ อ.สะเมิง ได้จัดตั้งพื้นที่เซฟตี้โซนไว้ให้บริการประชาชนแล้ว 20 แห่ง ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ว่าการอำเภอ โรงพยาบาลประจำอำเภอ และสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดของเซฟตี้โซนได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-5321-1048
ด้าน พล.ต.ถนัดพล โกศัยเสวี รองแม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะรองผู้บัญชาการกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า กองบัญชาการจัดชุดลาดตระเวน 2 ชุดปฏิบัติการ จากกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 7 และกองพันพัฒนาที่ 3 จำนวน 20 นาย พร้อมจัดอากาศยาน KA-32 ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อากาศยาน BT-67 เฮลิคอปเตอร์ AS-350 B2 จากกรมฝนหลวงและการบินเกษตร และเฮลิคอปเตอร์ AS-350 B2-1106, 1117 จำนวน 2 ลำ จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนปฏิบัติการดับไฟป่าพื้นที่บ้านสะเมิงแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างวันที่ 30 มี.ค.-1 เม.ย.64 กองบัญชาการ ได้จัดกำลังออกลาดตระเวนใน จ.เชียงใหม่ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังการเกิดไฟป่า โดยกำลังจากมณฑลทหารบกที่ 33 ร่วมกับหน่วยดับไฟป่าเคลื่อนที่ผาลาด สถานีควบคุมไฟป่าภูพิงค์ ลาดตระเวนพื้นที่บ้านขุนช่างเคี่ยน ถึงอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า อ.แม่ริม
ขณะที่ กรมรบพิเศษที่ 5 จัดกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติศรีล้านนาเข้าลาดตระเวนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา อ.แม่แตง อ.พร้าว และกำลังทหารจากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 7 เข้าปฏิบัติการลาดตระเวนพื้นที่บ้านเมืองนะ บ้านเมืองงาย บ้านแม่แมะ บ้านทุ่งข้าวพวง และบ้านปิงโค้ง (ดอยหลวง) อ.เชียงดาว
CR:จังหวัดเชียงใหม่ CM108.com
‘อนุทิน’ ย้ำใครอนุญาตจัดงานลักษณะสุ่มเสี่ยงโควิด ต้องรับผิดชอบ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า กำลังประสานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมควบคุมโรค เพื่อให้เข้าไปดูกรณีที่สถานบันเทิงในจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมจัดกิจกรรมสาดฝุ่นสี แทนการสาดน้ำ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือว่ามีความสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กิจกรรมที่มีการรวมตัว สุ่มเสี่ยงให้เกิดการแพร่ระบาด ไม่เกี่ยวกับว่าจะสาดอะไร พร้อมระบุว่า การพิจารณาอนุญาตเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะต้องประเมินสถานการณ์และรับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมา จังหวัดเชียงใหม่เคยเกิดการแพร่ระบาดในสถานบันเทิงมาแล้ว ในส่วนตัวไม่มีอำนาจสั่งการ ทำได้แค่กำชับผ่านหน่วยงานในสังกัดที่รับผิดชอบ ใครอนุญาตก็ต้องรับผิดชอบ
รัฐมนตรี สธ.ญี่ปุ่น ขอโทษ กลุ่มจนท.รวมตัวจัดงานเลี้ยงในผับย่านกินซ่า
นายโนริฮิสะ ทามูระ รัฐมนตรีสาธารณสุขของญี่ปุ่น กล่าวขออภัย หลังจากที่สื่อของญี่ปุ่นรายงานว่า เจ้าหน้าที่ของกระทรวงไปรวมตัวสังสรรค์ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว ซึ่งถือเป็นการละเมิดระเบียบปฎิบัติของรัฐบาลในการควบคุมโควิด-19 นายทามูระ ยอมรับว่า ลูกจ้างของกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 23คน ได้ไปรับประทานอาหารค่ำร่วมกันเมื่อวันที่ 24 มี.ค.64 และเขาจะสอบสวนรายละเอียดในเรื่องนี้โดยเร็ว
กรุงโตเกียวและอีก 3 จังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงเพิ่งจะผ่านพ้นช่วงเวลาของการประกาศภาวะฉุกเฉินไปเมื่อวันที่ 21 มี.ค.64 แต่รัฐบาลยังคงขอให้ภัตตาคารต่าง ๆ ปิดให้บริการในเวลา 21.00 น. และขอให้ประชาชนจำกัดจำนวนคนที่เข้าร่วมในการพบปะสังสรรค์
ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์โยมิอูริ รายงานว่า พนักงานของกระทรวงสาธารณสุขมาสังสรรค์กันในงานเลี้ยงอำลาที่ผับแห่งหนึ่งในย่านกินซ่า ของกรุงโตเกียว โดยบางคนอยู่ที่ร้านจนถึงเที่ยงคืน
ผู้นำทั่วโลก เห็นชอบจัดทำสนธิสัญญารับมือวิกฤตสาธารณสุข
นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษ เห็นพ้องกับผู้นำจาก 24 ประเทศทั่วโลกที่เสนอให้มีการจัดทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ที่ใช้บังคับทั่วโลก เพื่อช่วยให้ทุกประเทศทั่วโลกเตรียมพร้อมให้ดีกว่าเดิมรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ทุกคนหวังว่าเราจะเอาชนะโรคโควิด-19 ไปด้วยกัน พร้อมทั้งจะวางพื้นฐานสำหรับการสร้างระบบสาธารณสุขระหว่างประเทศที่เข้มแข็งพอที่จะช่วยปกป้องคนรุ่นต่อไปให้ปลอดภัย
บทความฉบับวันนี้ ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดอะเทเลกราฟของอังกฤษและหนังสือพิมพ์ชั้นนำอื่นๆทั่วโลก บรรดาผู้นำของโลก รวมถึงประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสและนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลของเยอรมนี ยอมรับว่าโรคโควิด-19 เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และเห็นตรงกันว่ามีความเป็นไปได้ว่าในอนาคต โรคระบาดหรือปัญหาวิกฤตด้านสาธารณสุขอาจจะเกิดขึ้นอีก เพียงแต่ยังไม่มีใครทราบเรื่องช่วงเวลาที่จะเกิดปัญหา นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันแสดงให้ทุกคนตระหนักว่าไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนจะปลอดภัย
ผู้นำทั้ง 24 ประเทศ เห็นพ้องกันว่าสนธิสัญญาใหม่ที่จะจัดทำจะมีลักษณะคล้ายกับสนธิสัญญาที่ทุกประเทศทั่วโลกร่วมกันจัดทำหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ก่อนเกิดปัญหาวิกฤตด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศครั้งต่อไป
ผู้ร่วมลงชื่อในบทความนี้รวมถึงนพ.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าปัญหาใหญ่ระดับโลก เช่นเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นปัญหาที่แก้ไขได้สำเร็จก็ต่อเมื่อทุกประเทศทั่วโลกร่วมมือมากขึ้น ซึ่งหากเราแก้ไขปัญหาสำเร็จ โลกของเราจะมีความสงบสุข ความเจริญก้าวหน้าและระบบสาธารณสุขทั่วโลกมีความมั่นคงสำหรับคนรุ่นต่อไป