ผู้ส่งออก ประเมินผล วิกฤตคลองสุเอซ ค่าระวางเรือแพง ต้องการตู้คอนเทนเนอร์เพิ่ม
น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวถึง กรณีเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ เอเวอร์ กิฟเวน (Ever Given) เกยตื้นขวางคลองสุเอซ (Suez) ทางแถบประเทศอียิปต์ จนทำให้มีเรือบรรทุกสินค้าอีกประมาณ 300 ลำเข้าคิวรอผ่านเส้นทาง การส่งสินค้าจึงมีความล่าช้าไปแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ ขณะนี้ เรือเอเวอร์ กิฟเวน ลอยและขยับได้แล้ว ก็น่าจะส่งผลให้เรือบรรทุกสินค้ามีความล่าช้าในการส่งสินค้าไปรวมประมาณ 2 สัปดาห์ โดยสินค้าส่วนใหญ่ของไทยที่ส่งออกไปสามารถเก็บได้ในอุณหภูมิปกติ จึงไม่น่าจะทำให้สินค้าได้รับความเสียหายจากระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น
จำนวนเรือประมาณ 300 ลำ คิดเป็นจำนวนตู้ประมาณ 1,000,000 ตู้ คาดว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน ถึงจะกลับสู่ภาวะปกติ จากเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้ความต้องการตู้สินค้าเพิ่มมากขึ้น ด้วยจำนวนตู้ที่มีจำกัดในตลาด หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวดีขึ้น ก็จะยิ่งทำให้ความต้องการตู้สินค้ามากขึ้น อาจจะทำให้ตู้ไม่เพียงพอ การจองรอบการส่งออก (Booking) มีโอกาสที่ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันค่าระวางเรืออยู่ในระดับที่สูง เส้นทางขนส่งทางยุโรปอยู่ที่ประมาณ 4,000-4,500 เหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วง 3-4 ปีก่อน ค่าระวางเรืออยู่ที่ประมาณ 700-800 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนในสหรัฐฯ ค่าระวางเรือได้ปรับขึ้นเป็น 5,000-6,000 เหรียญสหรัฐฯ จากระดับ 1,000 เหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ได้มีการพูดคุยกับกระทรวงพาณิชย์ ให้ช่วยติดตามเรื่องค่าใช้จ่ายที่อาจโดนเรียกเก็บเพิ่มหากตู้ขาดแคลน
ปัจจุบันไทยมีสัดส่วนการส่งออก ไปตลาดยุโรปเพียงร้อยละ 10 สินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็น อาหารแปรรูป อาหารสด อาหารทะเลแช่แข็ง ยานยนต์ ชิ้นส่วน ส่วนประกอบ ดังนั้น ถ้าหากการขนส่ง ล่าช้าไม่เกินเดือนครึ่ง ก็เชื่อว่า ระยะสั้น ผู้ประกอบการจะรับมือได้ แต่หากนานกว่านั้น อาจส่งผลให้ราคาสินค้าที่ส่งไปปรับตัวสูงขึ้นประมาณร้อยละ 10-15 ตามต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศคู่แข่งก็จะประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นคาดว่า ไม่น่าจะกระทบต่อการส่งออกของไทยโดยรวม
ไทย ติดอันดับ 3 การจ้างงานเพิ่มขึ้น ธุรกิจไอที-ประกันภัย รั้งอันดับฟื้นตัวสูงสุด
น.ส.พรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จ๊อบส์ ดีบี วิเคราะห์ข้อมูลและประเมินแนวโน้มทิศทางตลาดแรงงานหลังวิกฤต พบว่า อัตราการแข่งขันในการหางานของคนไทยมีอัตราส่วนการแข่งขันอยู่ที่ 1 ต่อ 100 ใบสมัคร โดยกระจุกตัวอยู่เพียงในเงินเดือนไม่เกิน 30,000 บาท ในด้านของสถานการณ์การจ้างงานของกลุ่มประเทศในอาเซียน 4 ประเทศเศรษฐกิจหลัก พบว่า ประเทศที่เริ่มกลับมามีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตามลำดับ
สถานการณ์เดือนก.พ.ปี 64 จำนวนความต้องการแรงงานในประเทศไทยทั้งจากบนแพลตฟอร์มหางาน และช่องทางสื่อกลางออนไลน์อื่น ๆ ฟื้นขึ้นจากจุดต่ำสุดถึงร้อยละ 24.65 สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดแรงงานไทยผ่านจำนวนความต้องการแรงงานของผู้ประกอบการว่า ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดจากช่วงเดือน เม.ย.63 และเดือน ธ.ค. 63 จากการระบาดระลอกที่ 2 และคาดการณ์ว่าจำนวนประกาศงานทั้งประเทศจะกลับมาเป็นบวกร้อยละ 5 ในกลางปี 64 (เมื่อเทียบกับกลางปี 63) และจะฟื้นตัวเท่ากับก่อนวิกฤติการณ์โควิด–19 ในต้นปี 65 หากไม่มีการระบาดระลอกใหม่
ส่วนความต้องการเมื่อแบ่งตามสายงาน จากจำนวนประกาศงานบน จ๊อบส์ ดีบี ในไตรมาสที่ 1 ของปี 64 กลุ่มสายงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1) สายงานขาย บริการลูกค้า และพัฒนาธุรกิจ คิดเป็น ร้อยละ16.0 2) สายงานไอที คิดเป็นร้อยละ 14.7 3) สายงานวิศวกรรม คิดเป็นร้อยละ 9.8 ในด้านมุมมองกลุ่มธุรกิจพบว่า ธุรกิจที่มีอัตราการฟื้นตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 63 ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจประกันภัย 2) กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 3) กลุ่มธุรกิจการผลิต
ด้านมุมมองกลุ่มธุรกิจ พบว่า ธุรกิจที่มีสัดส่วนจำนวนประกาศงานสูงสุด ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจไอที คิดเป็น ร้อยละ 12.9 2) กลุ่มธุรกิจการผลิต คิดเป็นร้อยละ 8.1 3) กลุ่มธุรกิจการค้าปลีก-ส่ง คิดเป็นร้อยละ 6.6
ส่วนธุรกิจที่มีอัตราการฟื้นตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2563 ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจประกันภัย คิดเป็น ร้อยละ 42.9 2) กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นร้อยละ 41.9 3) กลุ่มธุรกิจการผลิต คิดเป็นร้อยละ 37.7 นอกจากนี้ ยังพบว่า อัตราการแข่งขันในการหางานของคนไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นถึงร้อยละ 20 ในช่วงวิกฤติการณ์โควิด-19
‘อนุทิน’ ส่งรถตรวจโควิดไปชายแดน- รพ.10 จังหวัดมีความพร้อม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมหลังมีชาวเมียนมา อพยพทะลักเข้ามาในประเทศไทยจากสถานการณ์การเมืองภายในว่า ได้หารือกับแม่ทัพภาคที่ 3 ๆให้ข้อมูลว่าจะพยายามตรึงไว้ให้มากที่สุดโดยจะมีที่พักพิงให้กับชาวเมียนมาที่อพยพเข้ามาโดยไม่ให้เข้ามาในประเทศไทย ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมที่จะช่วยในเรื่องของการตรวจเชื้อและหากไม่เพียงพอก็จะมีรถพระราชทานในการตรวจเชื้อและรถแล็บเคลื่อนที่ซึ่งพร้อมจะเอาลงไปในพื้นที่ทันที
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้โรงพยาบาลตามแนวชายแดน 10 จังหวัด เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์
ปรับแผนฉีดวัคซีนฉุกเฉินให้เจ้าหน้าที่ด่านหน้า
ขณะเดียวกัน มีการปรับแผนการกระจายวัคซีนจะจัดส่งวัคซีนลงไปเพื่อฉีดให้กับผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าตามแนวชายแดนโดยเฉพาะในส่วนของทหาร ตำรวจ เนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดกับชาวเมียนมามากที่สุด โดยประสานไปยังฝ่ายทหารให้กำหนดอัตรา ผู้ปฏิบัติงานมาที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อจัดส่งวัคซีนลงไปฉีดในภาวะเร่งด่วนอย่างพอเพียง โดยมีโรงพยาบาลทหาร เป็นผู้ดำเนินการฉีดให้
วันนี้ สธ.รับวัคซีนซิโนแวค 800,000 โดส
วันนี้ กระทรวงสาธารณสุข จะรับมอบวัคซีนซิโนแวค 800,000 โดส จากองค์การเภสัชกรรม และจะเร่งกระจายไปตามพื้นที่เป้าหมาย ที่กำหนดรวมถึงพื้นที่ชายแดน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า ไม่ต้องกังวลว่าวัคซีนจะไม่เพียงพอ เนื่องจาก วัคซีนที่เข้ามาก่อนหน้านี้ สธ.ได้กันส่วนหนึ่งเอาไว้ใช้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ชาวเมียนมาที่เข้ามา เราให้การดูแลตามหลักมนุษยธรรม โดยให้อยู่ตามบริเวณจังหวัดชายแดนเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เข้ามาพื้นที่อื่นของประเทศ