นักวิจัยเผยโรคโควิด-19 สามารถจะติดทางปากของคนและน้ำลายอาจแพร่เชื้อไวรัส

          ดร.เควิน เบิร์ด จากสถาบันวิทยาศาสตร์และการวิจัย สมาคมทันตแพทย์อเมริกัน (ADA) เปิดเผยผลการวิจัยซึ่งพิมพ์เผยแพร่ในวารสารชื่อว่า เนเจอร์ เมดิซีน(Nature Medicine) ระบุว่านักวิจัยพบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเชื้อโรคโควิด-19 สามารถติดทางปากของคน รวมถึงในกระพุ้งแก้ม เหงือกและต่อมน้ำลาย การค้นพบนี้อาจจะช่วยอธิบายว่าเหตุใดคนที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงสูญเสียการรับรส หรือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส อีกทั้งแสดงให้เห็นว่าปากของคนเราอาจจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่สามารถจะแพร่เชื้อไวรัส เมื่อน้ำลายที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก ทีมนักวิจัยเชื่อว่าเชื้อไวรัสนั้นสามารถจะแพร่เชื้อต่อไปยังช่องคอ ปอด หรือแม้กระทั่งกระเพาะอาหาร

          เป็นที่ทราบกันว่าการทดสอบน้ำลายเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทราบว่าติดเชื้อโรคโควิด-19 หรือไม่ แต่นักวิจัยยังไม่เคยศึกษาวิจัยเรื่องนี้มาก่อนเพื่อดูว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ปาก จมูก โพรงอากาศข้างจมูก ช่องคอและปอด เชื่อมโยงกันทั้งหมด เชื้อไวรัสจึงสามารถจะแพร่ไปได้ทุกส่วนของอวัยวะผ่านน้ำมูก เนื้อเยื่อ หรือเสมหะที่ไหลไป หรือในเวลาไอหรือจาม ผู้ป่วยจะพ่นอากาศที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสโควิด-19 ออกมาจากปาก

          ด้านดร.เบลก วอเนอร์จากสถาบันวิจัยทางทันตกรรมและกะโหลกศีรษะและใบหน้าแห่งชาติ (National Institute of Dental and Craniofacial Research) ของสหรัฐฯ หนึ่งในทีมวิจัย ระบุว่าทีมวิจัยสงสัยว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ปนเปื้อนในน้ำลายอาจจะมาจากเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19ในช่องปาก นักวิจัยได้ตรวจเนื้อเยื่อในช่องปากของผู้ป่วย พบเซลล์ในปากมีตัวรับรส ซึ่งเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถจะเจาะเซลล์ ทำให้ตัวรับรถในช่องปากติดเชื้อโรคโควิด-19 จากการตรวจสอบตัวอย่างเนื้อเยื่อในช่องปากของคนไข้ที่เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ทีมวิจัยพบว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ในต่อมน้ำลายของคนไข้ราวหนึ่งของคนไข้ที่เสียชีวิตทั้งหมดที่ทีมวิจัยทำการศึกษา

          นอกจากนี้ หลักฐานที่แสดงว่าจากการตรวจโรคด้วยวิธีสว็อบทางจมูก ปรากฏผลเป็นลบ แต่เมื่อตรวจหาเชื้อไวรัสทางน้ำลาย กลับพบว่ามีผลเป็นบวกหรือติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แสดงให้เห็นว่าเชื้อไวรัสหายจากจมูก แต่มีเชื้อไวรัสหลงเหลืออยู่ในน้ำลาย แสดงให้เห็นการไหลเวียนของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่องปากของคนเราว่ามีซากเชื้อไวรัสหลงเหลืออยู่ค่อนข้างนาน

Cr: CNN, The Hindu BusinessLine