ญี่ปุ่น ชี้แจงชื่อน่านน้ำที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ คือทะเลญี่ปุ่น
สำนักข่าวเกียวโด รายงานว่า ญี่ปุ่นชี้แจงกับสหรัฐฯ เรื่องชื่อของน่านน้ำที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธตกว่าคือ "ทะเลญี่ปุ่น" (Sea of Japan) ไม่ใช่ "ทะเลตะวันออก" (East Sea) นายมานาบุ ซาไก รองหัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น แถลงข่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้ส่งคำชี้แจงไปยังรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากที่กองกำลังสหรัฐฯภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก ประกาศเกี่ยวกับการที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธเมื่อเช้าวันพฤหัสบดี 25 มี.ค.64 และจะจับตาดูสถานการณ์ต่อไป และหารืออย่างใกล้ชิดกับพันธมิตร การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงภัยคุกคามที่โครงการอาวุธผิดกฎหมายของเกาหลีเหนือมีต่อประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมโลก สหรัฐฯยังคงมุ่งมั่นที่จะปกป้องญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
นายซาไก ระบุว่า ประกาศดังกล่าวมีการปรากฏถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม และประเทศของเราก็มีจุดยืนว่า "ทะเลญี่ปุ่น" ถือเป็นชื่อเดียวที่เป็นสากลของน่านน้ำแห่งนี้
ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ มีความขัดแย้งในเรื่องชื่อเรียกของน่านน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างคาบสมุทรเกาหลีและประเทศญี่ปุ่น มาอย่างยาวนาน โดยเกาหลีใต้ ให้ชื่อเรียกน่านน้ำดังกล่าวว่า "ทะเลตะวันออก" ขณะที่ญี่ปุ่นต้องการใช้ชื่อว่า "ทะเลญี่ปุ่น" โดยอ้างสิทธิ์การปกครองเหนือคาบสมุทรเกาหลีในช่วงปี 1910-1945 ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่น อ้างถึงชื่อของ "ทะเลญี่ปุ่น" ว่าใช้ในยุโรปมาตั้งแต่ราวช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และเป็นชื่อที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ (UN)
แบรนด์ดังชาติตะวันตก โดนโซเชียลจีนถล่ม หลังห่วงการบังคับใช้แรงงานในซินเจียง
เว็บไซต์ค้าปลีกออนไลน์ในจีนอย่างน้อยหนึ่งแห่ง รวมถึงทีมของอะลีบาบา ได้ถอดผลิตภัณฑ์สินค้าแบรนด์ดังของชาติตะวันตก อย่าง เอชแอนด์เอ็ม ออกจากเว็บไซต์ของตนเอง ขณะที่ ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ดังสัญชาติสวีเดน เจ้านี้ กำลังถูกโลกโซเชียลโจมตีอย่างหนัก ขณะที่ดาราดังหลายคนของจีน แบนไม่เป็น Presenter ให้กับสินค้าจากแบรนด์ตะวันตกด้วย
ก่อนหน้านี้ เอชแอนด์เอ็ม ออกมาแสดงความห่วงกังวลเกี่ยวกับรายงานการใช้แรงงานบังคับในมณฑลซินเจียงอุยกูร์ของจีน ที่ชาติตะวันตกกล่าวว่าทางการจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในมณฑลซินเจียงอุยกูร์ ด้วยการทารุณและบังคับใช้แรงงาน และบริษัทไม่ได้ใช้วัตถุดิบจากมณฑลดังกล่าวของจีน แต่จีนได้ปฏิเสธการกล่าวหาดังกล่าวของตะวันตก
ก่อนหน้านี้แบรนด์สินค้าต่างชาติหลายแบรนด์ ทั้งไนกี้ อาดิดาส มูจิ เครืออินดิเท็กซ์ และเอชแอนด์เอ็ม แสดงความกังวลถึงเรื่องดังกล่าวและยืนยันว่าจะไม่ใช้ฝ้ายที่ผลิตจากมณฑลซินเจียงอุยกูร์
มูจิ แบรนด์เสื้อผ้าและของใช้ในบ้านจากญี่ปุ่น กังวลเกี่ยวกับการรายงานถึงการใช้แรงงาน เรียวฮิน เคอิกากุ บริษัทแม่ของมูจิ เปิดเผยผ่านแถลงการณ์ว่า ได้ตรวจสอบโรงงานในมณฑลดังกล่าวที่ผลิตสินค้าให้กับแบรนด์มูจิ ทำให้พบปัญหาที่มีนัยสำคัญ บริษัทจะปฏิบัติตามกฎของสหภาพยุโรปและสหรัฐฯเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนในมณฑลซินเจียงอุยกูร์
ส่วนไนกี้ ได้ออกแถลงการณ์เช่นเดียวกันว่า สินค้าของไนกี้ ไม่ได้มาจากพื้นที่ดังกล่าว และยืนยันว่าไม่ได้ใช้ผ้าและเส้นด้ายจากมณฑลดังกล่าว
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ จีนกับชาติตะวันตกมีความตึงเครียดอีกครั้ง เนื่องจากเมื่อวันที่ 22 มี.ค.64 สหภาพยุโรป (EU) สหรัฐฯ อังกฤษ และแคนาดา ได้บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อเจ้าหน้าที่ทางการจีนที่ถูกกล่าวหากระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนในมณฑลซินเจียงอุยกูร์ ส่งผลให้จีนตอบโต้กลับด้วยการคว่ำบาตรสมาชิกรัฐสภาและสถาบันต่างๆ ของEU
บริษัทญี่ปุ่น เจ้าของเรือสินค้าที่เกยตื้นขวางคลองสุเอซ แถลงขอโทษ พยายามจะขยับเรือ
โชเอ ไคเซ็น บริษัทญี่ปุ่นเจ้าของเรือบรรทุกสินค้า เอเวอร์ กีฟเว่น ที่เกยตื้นขวางลำอยู่ในคลองสุเอซ ในอิยิปต์ ออกแถลงการณ์ขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้นและระบุว่ากำลังหาทางแก้ปัญหาอยู่ การเคลื่อนย้ายเรือให้หลุดจากการเกยตื้นเป็นเรื่องยากมาก ๆ แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือไม่มีน้ำมันรั่วไหลออกมา ส่วนลูกเรือทั้ง 25 คน ที่เป็นคนสัญชาติอินเดียทั้งหมดปลอดภัยดี
เรือลำนี้ บริหารงานโดยไต้หวันและติดธงปานามา บรรทุกสินค้าอุปโภคบริโภค เดินทางจากจีนมุ่งหน้าไปที่ตลาดในทวีปยุโรป สินค้าบรรจุอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ขนาดมาตรฐาน 20,000 ตู้
บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้เรือ พยายามจะขยับเรือให้หลุดจากฝั่งที่เป็นทรายของคลองสุเอซ กล่าวว่า เรือติดขวางอยู่ในสภาพเหมือนวาฬเกยตื้น เรือสินค้าลำนี้ ซึ่งมีความยาว 400 เมตร หนักถึง 200,000 ตัน หันหัวเข้าเกยริมฝั่งหลังจากเสียการควบคุมหางเสือเรือ เนื่องจาก กระแสลมแรงจัดเมื่อวันอังคาร 23 มี.ค.64
รายงานข่าวในวงการระบุว่า บริษัทโชเอ ไคเซ็น และ บริษัทประภัยของเรือลำนี้ ซึ่งประสบเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นการเกยตื้นครั้งรุนแรงในคลองสุเอซ ถูกผู้เสียหายฟ้องร้องเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน สำนักงานบริหารคลองสุเอซ หรือ เอสซีเอ ของอิยิปต์ ประกาศงดการเดินเรือในคลองสุเอซ ซึ่งมีการสัญจรทางน้ำมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบว่า จะใช้เวลานานเท่าใด คาดว่า น่าจะใช้เวลานานอีกหลายสัปดาห์
คลองสุเอซ เป็นเส้นทางการเดินเรือที่สั้นที่สุดจากทวีปยุโรปไปยังทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกาฝั่งตะวันออก จากเดิมที่การเดินเรือเพื่อขนส่งสินค้าจากทวีปยุโรปสู่ทวีปเอเชีย ต้องเดินทางอ้อมแหลมกูดโฮปทางใต้สุดของทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก ใช้เวลาเดินทางนาน และเสียค่าใช้จ่ายมาก
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เรือสินค้าต้องเดินทางอ้อมแหลมกูดโฮป ที่ต้องใช้ระยะเวลานานหลายสัปดาห์
ผู้เชี่ยวชาญ ชี้แจง เชื้อไวรัส “กลายพันธ์คู่” ในอินเดีย เป็นเชื้อจากสหรัฐฯรวมกับเชื้อในอินเดีย
หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขอินเดีย พบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แบบ "กลายพันธุ์คู่" (Double Mutation) ซึ่งเป็นเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่ที่เกิดขึ้นในอินเดีย การค้นพบครั้งนี้มีขึ้นหลังการตรวจหาลำดับทางพันธุกรรมของกลุ่มตัวอย่างผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 10,787 คน ใน 18 รัฐทั่วอินเดีย และพบว่าเชื้อกลายพันธุ์ตัวนี้ในกลุ่มตัวอย่างราวร้อยละ 15-20 ในรัฐมหาราษฏระ
ดร.ราเกศ มิชรา ผู้อำนวยการศูนย์ชีววิทยาและโมเลกุลของอินเดีย เปิดเผยว่า โควิด-19 กลายพันธุ์คู่ที่พบในอินเดีย คือ การที่ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่แบบที่ไม่น่าวิตกกังวล 2 ตัวมาเจอกัน แล้วรวมเป็นตัวใหม่
โดยสองตัวที่มารวมกัน ได้แก่ สายพันธุ์ "L452R" ที่มาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯ กับสายพันธุ์ "E484Q" ซึ่งเป็นตัวกลายพันธุ์ในอินเดีย นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบว่า Double Mutation สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นพบครั้งแรกที่เมืองนาคปุระ รัฐมหาราษฏระ เมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว และตอนนี้พบว่ามีอยู่ประมาณร้อยละ 20 ของจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในรัฐนี้
นอกจากโควิด-19 กลายพันธุ์ คู่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ พบผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่กังวลอีก 771 คน เป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์สหราชอาณาจักร 736 คน โควิด-19 กลายพันธุ์แอฟริกาใต้ 34 คน และโควิด-19 กลายพันธุ์บราซิล 1 คน
สถานการณ์การแพร่ระบาดในอินเดีย พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีกถึง 47,000 คนในวันเดียว ทุบสถิติสูงสุดของปีนี้ รัฐบาลอินเดีย ออกคำสั่งระงับการส่งออกวัคซีนของแอสตราเซเนกาทั้งหมดเป็นการชั่วคราว เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในประเทศ ซึ่งจะทำให้ความต้องการวัคซีนในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้าเพิ่มตามไปด้วย จึงต้องเก็บวัคซีนส่วนนี้ไว้ใช้ในประเทศก่อน คาดว่า จะบังคับใช้มาตรการถึงสิ้นเดือนเม.ย.64
'เมเจอร์' สุนัขของ 'ไบเดน' กลับมาอยู่ที่ทำเนียบขาวแล้ว
รอยเตอร์ รายงานเรื่องสุนัข เมเจอร์ สุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และนางจิล ไบเดน ภริยา ว่า ล่าสุดส่งกลับมาที่ทำเนียบขาวแล้ว หลังจากเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ เมเจอร์ เห่าและกระโดดใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รวมถึงเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในทำเนียบขาว จนต้องถูกส่งตัวไปฝึกอบรมที่รัฐเดลาแวร์ บ้านเกิดของประธานาธิบดีไบเดน เพื่อฝึกเรียนรู้ ปรับตัวกับชีวิต ในฐานะสุนัขหมายเลข 1 ดังที่เป็นข่าวเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม
ประธานาธิบดีไบเดน รับเมเจอร์มาเลี้ยงจาก Delaware Humane Society เมื่อปี 2561 หลังจากดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ขณะที่ รับแชมป์ มาเลี้ยงก่อนตั้งแต่ปี 2551 เมื่อครั้งได้ชัยชนะเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาว บอกว่า ประธานาธิบดีไบเดน และภริยา อาจจะเลี้ยงแมวอีกตัว