ศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “อย่าจับแพะบูชายัญบนยอดปิรามิด” ระบุว่า
1.ในรอบหลายวันที่ผ่านมา ถ้าเราสังเกตกันให้ดี จะเห็นได้ว่ามีบางคน บางกลุ่ม หรือบางฝ่าย กำลังจับคนบางคนมาบูชายัญหรือทำให้เป็นแพะรับบาปจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่หาดใหญ่ จะโดยตั้งใจหรือไม่ หรือเป็นแค่การ "ระบาย" อารมณ์ความรู้สึก หรือต้องการจะ "ลอยตัว" เหนือความรับผิดชอบหรือไม่ก็ตาม ก็มีเสียงคัดค้านหรือเตือนกันเซ็งแซ่จากบางส่วนของสังคมว่าอย่ารีบร้อนหรือรวบรัดตัดความ
2.แต่เมื่อน้ำลด การถามหาความรับผิดชอบก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ถ้าจะให้ดีก่อนชี้ว่าใครผิดใครถูก เราควรจะต้องทราบว่าอำนาจและความรับผิดชอบของผู้บริหารในระบบของไทยนั้น ซับช้อนซ่อนเงื่อนอยู่ในโครงสร้างอำนาจที่ทับซ้อนกันในระบบที่เรียกว่า "Multiple Superiors" ("ผู้บังคับบัญชาหลายคน" - ซึ่งเป็นแนวคิดเดิมของอาจารย์พิทยา บวรวัฒนาที่ล่วงลับไปแล้ว) นั้น มีอยู่จริงและยังเข้มแข็งอยู่มาก ซึ่งในที่สุดแล้ว เราก็อาจจะเอาผิดใครได้ไม่ง่าย
3.ในวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ในครั้งนี้ หากต้องการเห็นชัดขึ้นว่าใครจะต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง เราสามารถแบ่งอำนาจของผู้บริหารได้เป็น 3 กลุ่มหรือสามระดับในรูปแบบของ "ขนมชั้นทรงปิรามิด" คือ
3.1) ชั้นล่างสุดหรือในระดับแรกของอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ คือ ส่วนท้องถิ่นและจังหวัด ซึ่งถือว่าใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด มีหน้าที่โดยตรง มีคนและงบประมาณของตนเอง และมีเครือข่ายภาคประชาชนในท้องถิ่นคอยสนับสนุนอยู่พอสมควร ซึ่งผู้บริหารในระดับนี้ ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งก็ตาม รวมทั้งข้าราชการประจำและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จะต้องเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติให้ดี ไม่บกพร่อง ไม่ประมาท และต้องมีความรู้ความชำนาญในพื้นที่ของตนเองเป็นอย่างดี ไม่ทะเลาเบาะแว้งแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ตลอดจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ฝากชีวิตและความหวังไว้กับตนในยามวิกฤต ซึ่งคงจะไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งแต่เพียงคนเดียวเท่านั้น
3.2) ชั้นกลางหรือในระดับที่สองของอำนาจบริหารทรงปิรามิด คือ กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ รวมทั้งคณะกรรมการแห่งชาติทั้งหลายในด้านน้ำ หน่วยงาน สำนักงาน องค์กร ทั้งที่เป็นอิสระ ขึ้นตรง หรืออยู่ในกำกับทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั้งหมด ซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฏหมายที่จะต้องควบคุม ดูแล กำกับ และติดตามการทำงานของหน่วยงานของตนในท้องถิ่น โดยเฉพาะในการป้องกัน บรรเทา เยียวยา ฟื้นฟู สร้างเสริม "ความมั่นคงด้านน้ำ" (Water Security) ให้เป็นไปตามแผนงานที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งในระดับนี้ หากทำงานกันได้อย่างดีจริง ๆ ก็คงจะสามารถป้องกันหรือบรรเทาความสูญเสียจากภัยพิบัติลงได้มาก อีกทั้งคงสามารถเยียวยา ฟื้นฟู และช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยได้ดีกว่านี้หรือรวดเร็วกว่าที่เห็นในปัจจุบัน และปัญหาจริง ๆ ในส่วนนี้ ก็มากกว่าที่รายงานกันในทุกวันนี้
3.3) ในส่วนยอดหรือในชั้นสูงสุดของปิรามิดอำนาจนั้น (ซึ่งแยกออกจากอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการ) คือ คณะรัฐมนตรี ซึ่งต้องถือว่ามีอำนาจสูงสุดในการบริหารแล้ว โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้รับผิดชอบ ทั้งทางกฏหมาย ทางการเมือง รวมทั้งทางคุณธรรม จริยธรรมด้วย ซึ่งก็ต้องบริหารจัดการนโยบายต่าง ๆ ในเรื่องนี้ให้ดี มีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล และตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาด้วย
แต่บนยอดสูงสุดของปิรามิดอำนาจนี้ ก็ยังมีอำนาจพิเศษอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับที่เข้มข้นที่สุดในระบบ (ยกเว้นอำนาจของคณะรัฐประหาร) โดยเป็นการรวบอำนาจบริหารของทุกชั้นเข้าไว้ด้วยกันที่ตัวนายกรัฐมนตรี (และ "คณะรัฐมนตรีชุดเล็กเฉพาะกิจ" ถ้ามี) แต่จะต้องผ่านการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ซึ่งทำให้สามารถรวบและใช้อำนาจอื่น ๆ ที่มีอยู่ในระบบทั้งหมดได้ในยามฉุกเฉินที่บ้านเมืองต้องเผชิญกับวิกฤตร้ายแรง โดยจะได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษในทางกฏหมายด้วย
ดังนั้น เมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้ว ก็ต้องถือว่าไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะเป็นอุปสรรคในระบบต่อการบริหารวิกฤตของนายกรัฐมนตรีและคณะในการคลี่คลายสถานการณ์ให้กับบ้านเมืองและประชาชน ซึ่งหากยังล่าช้าหรือไม่ทันการณ์อีก ก็จะไม่ใช่ปัญหาในเชิงระบบอีกต่อไป และหากว่าได้ช่วยท้องถิ่นและส่วนภูมิภาค ทำให้สถานการณ์คลี่คลายได้เร็วขึ้น ก็ควรจะได้รับคำชื่นชมในส่วนนี้ด้วย
4.ในความเป็นจริงนั้น ทั้งในยามปกติหรือในยามวิกฤต เราจะเห็นได้ว่าผู้บริหารในระดับต่างๆ ทำงานเป็นอิสระต่อกันเป็นส่วนใหญ่ เหตุเพราะต่างก็มีที่มา มีกฏหมายรองรับ หรือมีภารกิจเฉพาะของตนเองที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีหน่วยงานซ้ำซ้อนคล้าย ๆ กันเป็นจำนวนมาก เช่น มีหน่วยงานในเรื่องน้ำเกือบ 50 หน่วยงาน แม้ว่าจะมีสำนักงานกลาง (สทนช.) หรือคณะกรรมการแห่งชาติในเรื่องป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ (กปภ.ช) เป็นต้น
การมีหน่วยงานที่ซ้ำซ้อนเป็นจำนวนมากนี้ นอกจากทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณแล้ว ยังทำให้เกิดการเกี่ยงงานกันเอง หรือการโยนภาระหน้าที่ความรับผิดชอบให้กันละกันอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
5.สรุป ถึงแม้ว่าจะมีความซับซ้อนในการบริหารราชการของไทยดังกล่าวจนทำให้ยากต่อการระบุว่าใครที่จะต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นหรือที่สามารถหลีกเลี่ยงได้
แต่หากพิจารณาจากปิรามิดอำนาจสามชั้นข้างต้นแล้ว ก็ชัดเจนพอสมควรในเบื้องต้นว่า มีใครในระดับใดบ้าง ที่จะต้องรับผิดชอบต่อประชาชนในพื้นที่และต่อประเทศโดยรวม แต่หากมีการจับแพะมารับบาปสำเร็จ หรือมีคนถูกบูชายัญแทน ก็คงจะไม่มีอะไรดีขึ้นเท่าไรในการเผชิญกับวิกฤตหรือภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ข่าวทั้งหมด