อาการปวดเมื่อยต่างๆ ปวดหัว ปวดท้อง ปวดตามร่างกาย เป็นเรื่องปกติของอาการเจ็บปวดธรรมดาในคนวัยทำงาน เพราะความเคร่งเครียดสะสมจากการใช้ชีวิตประจำวัน การเดินทาง อาหารการกิน ภาระงาน รวมไปถึงภาระหน้าที่สำคัญต่างๆ ทำให้ไม่มีเวลาพาตัวเองไปตรวจเช็คสุขภาพอย่างละเอียด ยิ่งถ้าไม่ได้รักษาอย่างตรงจุดหรือไม่ได้พบแพทย์เฉพาะทาง อาจทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่กลายเป็นโรคร้ายแรงได้ เช่น 7 โรค ดังนี้
นับว่าเป็นโรคฮิตอันดับต้นๆของคนวัยทำงาน ตามหลักการทางการแพทย์ ไมเกรน เกิดขึ้นจากความผิดปกติชั่วคราวของระดับเคมีในสมอง ก้านสมองถูกกระตุ้น หลอดเลือดในเยื้อหุ้มเสมองมีการบีบและคลายตัวมากกว่าปกติ สาเหตุหลักๆมาจากภาวะความเครียดในการใช้ชีวิต การทำงาน ที่หักโหมจนเกินไป นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ กินข้าวไม่ตรงเวลา ร่างกายรับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน ส่งผลให้ร่างกายอ้อนล้า ไม่มีเรี่ยวแรง มีอาการปวดหัวบ่อยครั้ง เริ่มมีอาการแพ้แสง แพ้เสียง คลื่นไส้
เป็นโรคที่มีส่วนมาจากความเครียดคล้ายกับไมเกรน แต่ความเครียดนี้จะส่งผลต่อระบบย่อยอาหารเป็นหลัก ในขณะที่เราเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติจะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จนเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร กระเพาะเป็นแผลและลำไส้บีบตัวอย่างรุนแรง กลุ่มที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้อยู่ในช่วงอายุ 18-35 ปี เพราะกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่จัดอยู๋ในช่วงเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สถาพแวดล้อม สังคม และมักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
จากสถิติของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้ระบุว่า คนวัยทำงานร้อยละ 60 มีภาวะโรคออฟฟิศซินโดรม เป็นโรคที่เกิดขึ้นในกลุ่มพนักงานออฟฟิศซะส่วนใหญ่ ด้วยพฤติกรรมหลักๆของพนักงานออฟิศนั้น มีรูปแบบการทำงานที่จำเป็นต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ ไม่ได้เดินไปไหนมาไหนนอกจากเวลาพักกลางวัน จนทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง ปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ ก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบได้ โดยเฉพาะบริเวณ คอ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ซึ่งอาการปวดตามจุดดังกล่าว อาจลุกลามจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรังได้
อาการสำคัญของโรคนี้จะมีอาการปวดแสบตรงลิ้นปี่หรือยอดอก เรียกว่า อาการแสบร้อนกลางอก (Heartburn) อาจมีอาการขย้อนอาหารหรือเรอเอาน้ำย่อยรสเปรี้ยวขึ้นไปที่คอหอย หรือรู้สึกมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในปาก โดยอาการนี้จะเกิดขึ้นหลังการกินอาหารเข้าไปในปริมาณมาก หรือล้มตัวลงนอน นั่งงอตัว หรือโค้งตัวลงต่ำ หลังกินอาหาร โดยที่ไม่ได้รอให้อาหารย่อย อาจทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย จุกเสียดแน่น แล้วคลื่นไส้อาเจียนออกมา ซึ่งหากปล่อยไว้ให้เป็นเรื้อรังนาน ๆ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น หลอดอาหารอักเสบ (Esophagitis), แผลหลอดอาหาร (Esophageal ulcer), ภาวะหลอดอาหารตีบ (Esophageal stricture)
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจมาจากพันธุกรรม อายุ เพศ และเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน มักเกิดขึ้นกับคนวัยทำงาน เพราะวิถีการใช้ชีวิตของคนทำงานมักวนลูปไปในรูปแบบเดิมๆ ใช้ร่างกายหนัก ทั้งการเดินทางและการทำงาน ทั้งการสูบบุหรี่ กินอาหารไขมันสูง พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ออกกำลังกายหรือโหมออกกำลังกายหนักเกินไป ปัจจัยเหล่านี้จึงส่งผลให้เกิดโรคหัวใจได้อย่างง่ายดาย
สาเหตุที่ทำให้คนเกิดโรคนี้คือ เมื่อปวดปัสสาวะแล้วไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำ อั้นปัสสาวะไว้เป็นเวลานาน หรือดื่มน้ำน้อยเกินไป จนทำให้ในระยะยาว อาจเกิดอาการปัสสาวะไม่ออก แสบขัด หรือปัสสาวะบ่อย อาจบ่อยมากทุกๆ 1-2 ชั่วโมงหรือกระปริบประปรอย ไม่สามารถอั้นปัสสาวะได้ ซึ่งพฤติกรรมที่ทำจนเกิดเป็นนิสัยแบบนี้ ส่งผลให้เกิดโรคอื่นๆหรือโรคร่วมกันได้ เช่น โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ หูรูดกระเพาะปัสสาวะเสื่อม
เพราะวิถีการใช้ชีวิตคนวัยทำงานโดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ ที่นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะเป็นเวลานาน ๆ ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย เกิดอาการง่วงนอนจนต้องหาของกินจุกจิกกินเล่น นอกจากนี้ความเครียดก็สามารถทำให้เกิดโรคอ้วนได้เช่นกันเพราะสมองของเราจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด กระตุ้นให้เซลส์ไขมันในช่องท้อง เก็บสะสมอาหารได้มากขึ้น ก่อให้เกิดภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินกว่าปกติหรือมากเกินกว่าที่ร่างกายจะเผาผลาญ ทำให้ร่างกายสะสมพลังงานที่เหลือเอาไว้ในรูปของไขมันตามอวัยวะต่างๆ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพ และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมา
หากคุณพบว่าตัวเองอยู่กลุ่มเสี่ยงของทั้ง 7 โรคนี้ ควรเริ่มหันมาใส่ใจและดูแลตัวเองมากขึ้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ออกกำลังกายวันละนิดละหน่อย รับประทานอาหารตรงต่อเวลาและมีประโยชน์ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การขยับร่างเคลื่อนไหวร่างกายก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรลุกออกจากที่นั่งทำงานทุก 1-2 ชั่วโมง พักผ่อนสมอง ไม่ทำตัวให้ยุ่งหรือเครียดมากจนเกินไป สุขภาพที่ดีเริ่มต้นได้ที่ตัวเรา