ช่วงนี้โควิด-19 กำลังระบาดอย่างหนัก ททท. กับ จส.100 ขอให้ทุกท่านระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องไปฉีดวัคซีนให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด ดูแลรักษาสุขภาพอนามัยอยู่ที่บ้าน รักษาระยะห่างระหว่างกัน สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ แต่ว่า...ถ้าหากอยู่บ้านแล้วเหงา เรามีรีวิวเส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดยโสธร มาให้คุณได้ดูได้เพลินไปกับเมืองเล็ก ๆ แต่มากไปด้วยเสน่ห์วัฒนธรรมภาคอีสานที่สืบสานตำนานในการขอฝนจนเป็นเอกลักษณ์ประเพณีบุญบั้งไฟ อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของศาสนสถานที่มีชื่อเสียงทั้งของชาวพุทธและชาวคริสต์ มีโบราณสถานที่เล่าขานตำนานอันเลื่องลือ เป็นเมืองที่มีมรดกทางสถาปัตยกรรมอันสวยงาม...ให้คุณมาดูรีวิวเก็บข้อมูลกันก่อน แล้วพอตอนสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ก็ยังไม่สายที่เดินทางไปเมืองรองที่แหล่งท่องเที่ยวไม่เป็นสองรองใครแห่งนี้
เส้นทางท่องเที่ยว จ.ยโสธร : https://goo.gl/maps/ai4RmJn8SUbsQXVe6
ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า
เราจะเริ่มต้นทริปกันที่ตัวเมืองยโสธร ณ ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนพร้อมกับชมความสวยงามของบ้านเรือนและตึกแถวสไตล์ชิโนโปรตุกีส อันบ่งบอกถึงความเจริญของอดีตเมืองท่าลุ่มน้ำชี ที่มีชาวจีนมาทำการค้าขายจนกลายเป็นย่านการค้าสำคัญ และยุคที่ฝรั่งเศสขยายอิทธิพลในอินโดจีน ก็ได้เข้ามาสร้างที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านสิงห์ท่าจนเกิดรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างจีนกับยุโรปลักษณะเดียวกับย่านเมืองเก่าภูเก็ต กลายเป็นมรดกความสวยงามทางสถาปัตยกรรมที่สืบทอดมาสู่ปัจจุบัน นอกจากนั้นภายในบริเวณยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองยโสธรให้คุณได้เข้ามาสักการะเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต แต่ช่วงนี้เราคงจะต้องรอไปอีกสักพัก แล้วชุมชนที่มีความสวยงามแห่งนี้จะกลับมาคึกคักให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมอีกครั้ง
ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า : https://goo.gl/maps/k4vMpvghVES7Ffqd9
วัดมหาธาตุ
ขับรถออกจากย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่าไปตามถนนเขตยศไกรประมาณ 200 เมตร ก่อนถึงถนนแจ้งสนิทให้สังเกตทางซ้ายจะพบทางเข้า “วัดมหาธาตุ” พุทธสถานคู่บ้านคู่เมืองยโสธร เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุอานนท์ ซึ่งบรรจุพระอัฐิธาตุของพระอานนท์หนึ่งเดียวในประเทศไทย ลักษณะเป็นเจดีย์รูปทรงสี่เหลี่ยมส่วนยอดคล้ายพระธาตุพนม รูปแบบสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลมาจากศิลปกรรมลาวโบราณ นับเป็นปูชนียสถานสำคัญอีกแห่งหนึ่งในภาคอีสาน
นอกจากนั้น ภายในวัดมหาธาตุยังมีหอไตรโบราณ ตั้งอยู่บริเวณกลางสระน้ำทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระธาตุอานนท์ ลักษณะเป็นเรือนไม้ ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีสะพานทอดไปถึงตัวเรือน องค์ประกอบสถาปัตยกรรมเป็นรูปแบบหอไตรภาคอีสานพื้นบ้านผสมผสานกับศิลปกรรมกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นสถานที่สำหรับเก็บพระไตรปิฎก คัมภีร์ใบลาน ตู้และหีบพระธรรม พระพุทธรูปเก่าแก่ ซึ่งล้วนมีคุณค่าทางพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์
เช่นเดียวกับ “พระแก้วหยดน้ำค้าง” หรือพระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์ หรือพระแก้วขาว พระพุทธรูปปางสมาธิขนาดเล็กศิลปะสมัยเชียงแสน สร้างจากเนื้อแก้วใสขนาดหน้าตักกว้างเพียง 1.9 นิ้ว ซึ่งท้าวพญาเมืองจำปาศักดิ์ได้ถวายพระแก้วขาวแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงโปรดให้อัญเชิญมายังกรุงเทพมหานครเมื่อพุทธศักราช 2355 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้แก่พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) เจ้าเมืองยโสธรคนแรก ปัจจุบัน “พระแก้วหยดน้ำค้าง” ประดิษฐานอยู่ที่หอพระแก้ว วัดมหาธาตุ ถือเป็นองค์พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองและเป็นมิ่งขวัญของชาวยโสธร
ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า – วัดมหาธาตุ : https://goo.gl/maps/dKneD6EjrYJSEhTd7
โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้
ไหน ๆ มาถึงจังหวัดยโสธรแล้ว ลองขับรถไปไกลอีกสักนิดก็จะได้ใกล้ชิดความสวยงามของศาสนสถานที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่ง แนะนำว่าไปเถอะไม่ควรพลาด... ทางไปไม่ซับซ้อนโดยใช้ถนนวารีราชเดช (ทางหลวงแผ่นดิน 2169) เป็นเส้นทางหลักขับรถออกจากตัวเมืองยโสธรมุ่งหน้าไปอำเภอไทยเจริญ ขับไปตามถนนวารีราชเดชเป็นระยะทางประมาณ 44 กิโลเมตร จากนั้นให้สังเกตด้านซ้ายจะเห็นถนนเข้าซอยขนาดสองเลนมีป้ายไม้ขนาดใหญ่ระบุข้อความ “โบสถ์ไม้ใหญ่ที่สุด” ให้เลี้ยวเข้าซอยนั้นและขับตรงไปอีก 400 เมตร ก็จะถึงจุดหมาย คือ วัดอัครเทวดามีคาแอล หรือเรียกจนติดปากว่า “โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้” โบสถ์ไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2490 จากแรงศรัทธาของคริสต์ศาสนิกชนในหมู่บ้านซ่งแย้ ตำบลคำเตย อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร ซึ่งได้รวบรวมไม้นานาชนิดนำมาก่อสร้างโบสถ์ขนาดกว้าง 16 เมตร ยาว 57 เมตร สามารถรองรับผู้เข้าร่วมศาสนกิจได้มากกว่า 500 คน เป็นโบสถ์คริสต์ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยเข้าไปในโครงสร้างอย่างกลมกลืน มีความสวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ท่ามกลางบรรยากาศที่ให้ความสงบร่มเย็น
วัดมหาธาตุ - โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ : https://goo.gl/maps/wqWpxw9YJi8PdqucA
ธาตุก่องข้าวน้อย
หลายคนคงเคยได้ยินตำนานพื้นบ้านอีสาน “ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่” มาบ้าง เราจะเดินทางไปยังโบราณสถานในตำนานเรื่องนี้กัน ต้องย้อนกลับไปตัวเมืองโดยใช้เส้นทางเดิม คือ ถนนวารีราชเดช (ทางหลวงแผ่นดิน 2169) ไปตามทางประมาณ 42 กิโลเมตรจะพบสี่แยกตับเต่าให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเลี่ยงเมืองยโสธร (ทางหลวงแผ่นดิน 292) ขับต่อไปอีก 6 กิโลเมตรจนถึงสามแยกศาลาแดงให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนแจ้งสนิท (ทางหลวงแผ่นดิน 23) แล้วขับตรงไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร สังเกตทางซ้ายจะพบป้ายบอกทางไปธาตุก่องข้าวน้อย ซึ่งจะต้องขับรถเข้าซอยไปอีกประมาณ 500 เมตรก็จะถึงจุดหมาย คือ ธาตุตาดทอง หรือ ธาตุถาดทอง หรือที่รู้จักในนาม “ธาตุก่องข้าวน้อย” ตั้งอยู่กลางทุ่งนาในพื้นที่บ้านตาดทอง ตำบลตาดทอง อำเภอเมืองยโสธร เป็นเจดีย์โบราณรูปสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐ มีฐาน 2 ชั้นทำเป็นแอวขันตามแบบสถาปัตยกรรมล้านช้าง มีเรือนธาตุเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม มีซุ้มจระนำอยู่ทั้งสี่ทิศ ตัวธาตุสูงประมาณ 10 เมตร และสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 23-25 ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย
ธาตุก่องข้าวน้อยเป็นโบราณสถานที่มีชื่อเสียงมาจากตำนานพื้นบ้านอีสาน “ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่” เรื่องราวของหนุ่มชาวนาที่บันดาลโทสะจากความหิว ได้ลงมือฆ่ามารดาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ต่อมารู้สึกสำนึกผิดจึงสร้างเจดีย์สูงเท่าต้นตาลบริเวณที่มารดาเสียชีวิต เพื่อไถ่บาปและขออโหสิกรรม ธาตุก่องข้าวน้อยเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของภาคอีสานที่มีผู้คนนิยมมาสักการะตามความเชื่อ พร้อมกับชมความงามของสถาปัตยกรรมเจดีย์โบราณที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในทางประวัติศาสตร์
โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ - ธาตุก่องข้าวน้อย : https://goo.gl/maps/8aUqHoxzwVH6KkZx5
วิมานพญาแถน
“บุญบั้งไฟ” งานประเพณีสำคัญของชาวยโสธรที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน มีความเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อ ความศรัทธา การบูชาเทพยดาให้บันดาลฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อหล่อเลี้ยงไร่นานำพาความอุดมสมบูรณ์มาสู่แดนดิน เราจะชวนคุณไปท่องเที่ยวและเรียนรู้รากฐาน ตำนาน ความเป็นมาของประเพณีบุญบั้งไฟ ณ แลนด์มาร์คใจกลางเมือง...ตามมาเลย
จากธาตุก่องข้าวน้อยให้ขับรถย้อนเข้าตัวเมืองยโสธรโดยใช้ถนนแจ้งสนิท (ทางหลวงแผ่นดิน 23) ขับไปประมาณ 7 กิโลเมตร จะถึงแยกตัดกับถนนมงคลบูรพา ให้เลี้ยวขวาแล้วตรงไปอีก 700 เมตร พอถึงแยกหน้าร้านอาหารบ้านคุณย่าให้เลี้ยวขวาแล้วขับเข้าซอยไปอีก 200 เมตร ก็จะพบกับริมฝั่งลำน้ำทวน ที่ตั้งของ “วิมานพญาแถน” แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประเพณีของจังหวัดยโสธร โดดเด่นด้วย “พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก” อาคารรูปทรงคางคกสูง 19 เมตร สื่อความหมายถึงตำนานพญาคันคาก ผู้นำสรรพสัตว์ไปทำสงครามกับ “พญาแถน” เทวดาที่ไม่ยอมให้ฝนตกลงมายังแดนดิน จนกระทั่งพญาแถนได้พ่ายแพ้การรบจึงยอมบันดาลให้ฝนตกลงมาเช่นเดิม หากแต่บนโลกมนุษย์จะต้องจุดบั้งไฟขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อเคารพบูชาและเป็นการส่งสัญญานให้พญาแถนปล่อยฝน อันเป็นตำนานที่เกี่ยวเนื่องกับประเพณีการจุดบั้งไฟ
“พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก” ถือเป็นแลนด์มาร์คของเมืองยโสธร เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปและเข้าไปชมนิทรรศการต่าง ๆ ภายในอาคาร 5 ชั้น โดยชั้นที่ 1-4 จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองยโสธร ,ตำนานพญาแถนและพญาคันคาก ,ตำนานและเรื่องราวของบั้งไฟ ,อัตลักษณ์เมืองยโสธร ส่วนชั้นที่ 5 เป็นจุดชมวิวเมืองยโสธร นอกจากนั้นบริเวณด้านหลังอาคารพิพิธภัณฑ์พญาคันคากมีการจัดแสดงประติมากรรมขบวนแห่บั้งไฟ อีกทั้งยังมีอาคาร “พิพิธภัณฑ์พญานาค” อาคารรูปทรงพญานาคความยาว 111.5 เมตร ซึ่งทอดลำตัวไปตามริมฝั่งลำน้ำทวน เป็นสถานที่สำหรับจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับความศรัทธาและคติความเชื่อเรื่องพญานาค ซึ่งมีความผูกพันกับวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตของชาวอีสาน
ธาตุก่องข้าวน้อย – วิมานพญาแถน : https://goo.gl/maps/9xP6EUEKzYwYcy7F6
แม้ว่ายโสธรจะเป็นเมืองเล็ก ๆ หากแต่มากไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ มีความสวยงาม มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และมีตำนานกับความเชื่อ เรารีวิวมาให้ดูเพลิน ๆ แล้วค่อยกลับไปเดินทางกันอีกทีเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ซึ่ง ททท. กับ จส.100 ขอย้ำอีกครั้งให้ทุกท่านระมัดระวังตัวเอง ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด ดูแลรักษาสุขภาพอนามัยอยู่ที่บ้าน และไม่ต้องกลัวเหงา เดี๋ยวเราจะหาทริปเด็ด ๆ เส้นทางท่องเที่ยวดี ๆ มาบอกคุณอีกแน่นอน
#หยุดยาวเที่ยวไหนดี
#1672เพื่อนร่วมทาง
#เที่ยวเมืองรองไปกับ1672
#TAT
#JS100