กรณีที่สหรัฐฯเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากลาวและเมียนมาที่ร้อยละ 40 สูงที่สุดในกลุ่มอาเซียน นักวิเคราะห์หลายรายมีความเห็นว่า เป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวเนื่องกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ดร.เดโบราห์ เอลม์ส จากมูลนิธิ ฮินริช เอ็นจีโอที่ส่งเสริมการค้ายั่งยืนทั่วโลกซึ่งมีสำนักงานอยู่ในสิงคโปร์ เปิดเผยว่า การที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากลาวและเมียนมาสูงที่สุดในบรรดา 10 ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีน เนื่องจากลาวและเมียนมามีความสัมพันธ์ทื่ใกล้ชิดกับจีน
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า รัฐบาลทรัมป์ต้องการสกัดสินค้าจีน ที่จะส่งผ่านไปยังทั้ง 2 ประเทศเพื่อสวมสิทธิ์แล้วส่งออกไปสู่ตลาดสหรัฐฯอีกทอดหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบัน สหรัฐฯและจีนอยู่ระหว่างการเจรจาการค้า ที่แยกจากบรรดาคู่ค้าอื่นๆของสหรัฐฯ และทั้งสองฝ่ายยังมีเวลาเจรจาไปจนถึงวันที่ 12 ส.ค.นี้ โดยในปัจจุบัน สหรัฐฯเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรวมร้อยละ 51.1
นักวิเคราะห์คาดว่า การเก็บภาษีในอัตราที่สูงจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของลาวและเมียนมา ซึ่งเป็นประเทศที่มีรายได้ต่ำและพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯจะมีราคาแพงขึ้นและจะแข่งขันลำบาก ส่งผลให้สูญเสียรายได้และกระทบการจ้างงานในอุตสาหกรรมส่งออกในประเทศทั้ง 2 ทั้งอาจจะผลักดันให้ทั้ง 2 ประเทศต้องพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากขึ้น
สำหรับลาว เป็นผู้ส่งออกสินค้าหลักๆเช่น ไม้ กาแฟและสิ่งทอ ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยในปีที่แล้ว (2567) ลาวส่งออกสินค้ารวมมูลค่า 803.3 ล้านดอลลาร์ไปยังตลาดสหรัฐฯ ขณะที่สั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯเพียง 40.4 ล้านดอลลาร์ ส่วนเมียนมาเป็นผู้ส่งออกสินค้าประเภทเครื่องหนังและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯจำนวน 579 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 ตามข้อมูลการค้าของสหรัฐฯ
...
#ภาษีทรัมป์
#ลาวเมียนมา