ผลสำรวจสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยปี 66 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า คนไทยมีหนี้ครัวเรือนเฉลี่ย 559,400 บาท/ครัวเรือน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 11.5 ในจำนวนนี้ เป็นหนี้ในระบบประมาณร้อยละ 80 และอีกร้อยละ 20 เป็นหนี้นอกระบบ สูงสุดจากที่ทำการสำรวจมาในรอบ 15 ปี โดยมีผลพวงมาจาก trade war ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการระบาดของโควิด ตั้งแต่ปี 62-63 ทำให้คนก่อหนี้มากขึ้น และเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็น ต่อให้มีการเลือกตั้ง ความแน่นอนทางเศรษฐกิจก็ยังไม่ชัด ทำให้เขาคาดว่าต้องเผชิญกับปัญหาค่าครองชีพสูง รายได้ต่ำไปจนถึงต้นปีหน้าโดยกลุ่มตัวอย่างยอมรับว่า สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนมาจากการขาดวินัยทางการเงิน รองลงมา รายรับไม่พอกับรายจ่าย วางแผนการลงทุนผิดพลาด และมีความรู้ทางการเงินไม่เพียงพอ
นอกจากนั้น ยังพบว่า หนี้ครัวเรือนมีโอกาสสูงขึ้น และวงเงินก่อหนี้ น่าจะพีคสุดในช่วงปี 67
และแม้ว่า ภาพรวม มองว่าแม้หนี้ครัวเรือนในปัจจุบันจะขึ้นไปแตะ 90% ของจีดีพี แต่แนวโน้มจีดีพีที่สูงขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว และครัวเรือนไม่ตั้งใจจะก่อหนี้มากขึ้น อีกทั้งหนี้ที่ก่อก็เป็นหนี้ในระบบ จึงมองว่าหนี้ครัวเรือนไม่ใช่ปัญหารุนแรงต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และเป็นปัญหาระดับบุคคล ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับสถาบันการเงิน กำลังเร่งแก้ไขอยู่
นางอุมากมล สุนทรสุรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ถึงผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย ปี 2566 ซึ่งเป็นการสำรวจทั่วประเทศ 1,300 ตัวอย่าง ตั้งแต่วันที่ 17-21 ก.ค.66 พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ จะตอบว่ามีรายได้เพียงพอน้อย-ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย (กลุ่มเพียงพอน้อยร้อยละ 14.8 กลุ่มเพียงพอน้อยมากร้อยละ 36.9 และกลุ่มไม่เพียงพอร้อยละ33.5) ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาเมื่อเกิดภาวะรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ส่วนใหญ่จะเลือกใช้วิธีการ 1.กู้ยืมจากแหล่งต่างๆ (กดเงินสดจากบัตรเครดิต, กู้จากธนาคารพาณิชย์, กู้จากธนาคารเฉพาะกิจ) 2.ประหยัด/ลดค่าใช้จ่าย และ 3.หารายได้เพิ่ม
กลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 69.3 มองว่า ลักษณะการใช้จ่ายของตัวเองไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ รองลงมา กลุ่มตัวอย่างร้อยละ60.5ยอมรับว่ามีการใช้จ่ายเกินตัว ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 47.2 จะดึงเงินในอนาคตออกมาใช้ก่อน
โดยเมื่อเปรียบเทียบหนี้กับรายได้ในปัจจุบัน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ถึงร้อยละ 54.7 เห็นว่าหนี้เพิ่ม มากกว่ารายได้เพิ่ม แต่หากให้ประเมินในอนาคต กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 60.4 ก็ยังคงเห็นว่าหนี้เพิ่ม มากกว่ารายได้เพิ่ม เมื่อถามว่าในปัจจุบันครัวเรือนมีหนี้สินหรือไม่ พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมด หรือคิดเป็นร้อยละ 99.8 ตอบว่า มีหนี้สิน โดยมีเพียงร้อยละ 0.2 เท่านั้น ที่ตอบว่าไม่มีหนี้สิน
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการก่อหนี้สูงสุด 3 อันดับแรก คือ หนี้บัตรเครดิต หนี้รถยนต์ และหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค
สำหรับการก่อหนี้ของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 65.6 มีเฉพาะหนี้ในระบบ รองลงมา กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 31.2 มีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ และกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 3.2 มีเฉพาะหนี้นอกระบบ ซึ่งหากคิดเป็นจำนวนหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน จะอยู่ที่ 559,408 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 11.5 แยกเป็นหนี้ในระบบร้อยละ 80.2 และหนี้นอกระบบร้อยละ 19.8 คิดเป็นภาระการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือน 16,742 บาท แยกเป็น หนี้ในระบบ 12,012 บาท และนอกระบบ 4,712 บาท
สาเหตุของการเป็นหนี้ที่เพิ่มขึ้น 5 อันดับแรก ตอบว่า 1.ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น 2.ซื้อสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น 3.รายได้ไม่พอกับรายจ่าย 4.ลงทุนในธุรกิจเพิ่มขึ้น 5.ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมาก
ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ75.6 ยอมรับว่าเคยผิดนัดชำระหนี้ หรือขาดการผ่อนชำระหนี้ เนื่องจากปัญหารายได้ลดลง เศรษฐกิจไม่ดี ตกงาน ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 24.4 ตอบว่าไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ และเมื่อถามว่าในอนาคต 6 เดือน - 1 ปีข้างหน้ามีโอกาสจะประสบปัญหาการผ่อนชำระหนี้หรือไม่ พบว่า กลุ่มตัวอย่างเพียงร้อยละ 16 ที่ตอบว่า มีโอกาสมากที่จะผิดนัดชำระหนี้ โดยให้เหตุผลว่ารายได้ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น, ดอกเบี้ยสูงจนไม่สามารถผ่อนชำระได้ เศรษฐกิจไม่ดี มีภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเพิ่มขึ้น และรายได้ลดลง ขณะที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 46.3 ตอบว่ามีโอกาสน้อยที่จะประสบปัญหาการผ่อนชำระหนี้
เมื่อถามถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ คือ รายได้ลดลง, เศรษฐกิจไม่ดี, ความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน, คู่แข่งทางธุรกิจมากขึ้น เป็นต้น ส่วนความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือน คือ ขาดวินัยทางการเงิน, รายได้ไม่พอกับรายจ่าย, วางแผนการลงทุนผิดพลาด, ความรู้ทางการเงินไม่เพียงพอ และเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายไป สำหรับข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน เช่น การหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ, การให้ความรู้ในการบริหารหนี้, การให้ความรู้เรื่องการวางแผนการใช้จ่าย และการฝึกอบรมวิชาชีพ/เพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพ เป็นต้น
#หนี้ครัวเรือน
#หอการค้าไทย