รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat เตือนการดำเนินนโยบายเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยที่ยังไม่มีวัคซีนและยารักษาโรคโควิด-19 อาจสร้างความเสียหายอย่างหนัก โดยระบุในเฟซบุ๊กว่า
11 กรกฎาคม 2563
โดย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรศ.ดร.พญ.ภัทรวัณย์ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาดำเนินนโยบายที่เน้นไปทางเศรษฐกิจอย่างมาก จนทำให้การควบคุมโรคโควิด-19 เป็นไปได้ลำบาก อัตราการติดเชื้อต่อวันสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดญี่ปุ่นดูเหมือนจะปลดล็อกครั้งใหญ่ โดยยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ โตเกียวติดกันหลายร้อยคนต่อวัน และมีแนวโน้มตามข่าวที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ว่า อาจไม่มีการล็อกดาวน์อีกต่อไป แต่จะเน้นเศรษฐกิจเป็นหลัก หากเจ็บป่วยก็รักษา
สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับญี่ปุ่นคือ การที่ประเทศมีโครงสร้างประชากรเป็นผู้สูงอายุจำนวนมาก และจำนวนประชากรมีมากถึง 126.5 ล้านคน หรือเกือบสองเท่าของประเทศไทย โดยขนาดพื้นที่ของประเทศราว 60% ของประเทศไทย ชี้ให้เห็นถึงความหนาแน่นประชากรที่สูง
หากตั้งการ์ดไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใส่หน้ากาก ล้างมือ อยู่ห่างๆ รวมถึงการตรวจคัดกรองแต่เนิ่นๆ สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้คือ
หนึ่ง จำนวนการติดเชื้อใหม่ของประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และขยายตัวเหมือนสหรัฐฯ บราซิล และอินเดีย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่เขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่น
สอง พื้นที่ประเทศอาจกลายเป็นแหล่งโรค หรือดงโรค ในลักษณะ endemic areas ในระยะยาว
ทั้งนี้หากมีวัคซีนป้องกันในอนาคต คนที่จะเดินทางไปยังพื้นที่นั้นก็จำเป็นต้องฉีดวัคซีน เหมือนโรคบางโรคในบางพื้นที่ เช่น ไข้เหลืองในแอฟริกา
แต่หากไม่มีวัคซีน...ประเทศต่างๆ อาจต้องทบทวนเรื่องการเดินทางระหว่างประเทศ เพราะมีโอกาสติดเชื้อและนำเข้าสู่ประเทศต้นทางได้
ทั้งนี้อาจกระทบต่อความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวในระยะยาวได้ด้วย
สาม จำนวนการเสียชีวิตอาจสูงขึ้นอย่างมาก เพราะโครงสร้างประชากรเป็นผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ติดเชื้อแล้วจะเกิดอาการรุนแรง
สี่ ระบบสาธารณสุขของประเทศ...น่าจะไม่มีทางรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนอาจคล้ายอิตาลีตอนช่วงที่ระบาดหนักๆ
...ตามธรรมชาติของโรคนี้ หากดูประสบการณ์ต่างๆ ทั่วโลกที่ผ่านมา หากปลดล็อกเสรีไปแล้ว น่าจะเห็นผลกระทบแบบหนักหน่วงภายใน 3 เดือน...
ปัจจัยที่ชาวญี่ปุ่นจะสู้กับโรคนี้ได้คือ การใช้จุดแข็งด้านวัฒนธรรม นั่นคือ "การมีวินัย"...ตั้งการ์ดให้แข็งแกร่ง ใส่หน้ากาก ล้างมือ อยู่ห่างๆ พบปะคนน้อยลงสั้นลง เลี่ยงที่แออัดและอโคจร และรีบตรวจรักษาหากมีอาการผิดปกติ...คงต้องเอาใจช่วยให้ปลอดภัย
สำหรับเมืองไทยนั้น วันนี้มีเพิ่ม 14 คน มาจาก State Quarantine ทั้งสิ้น ยอดรวม 3,216 คน
สิ่งที่นักการเมืองพ่นออกมาผ่านสื่อ ไม่ว่าจะทำสนธิสัญญาเกี่ยวก้อยให้นักธุรกิจ นักลงทุน ในประเทศต่างๆ เข้ามาในไทยได้นั้น...ท่านนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานความมั่นคงอาจต้องทบทวนให้ดี ขันน็อตระบบการคัดกรอง กักตัว และติดตามให้แน่นหนา เข้มงวด มีวินัย
เพราะถัดจากนี้ไป มีความเป็นไปได้สูงที่หลายต่อหลายประเทศจะดำเนินรอยตามนโยบายเน้นเศรษฐกิจแบบยักษ์ใหญ่ทั้งหลายที่กล่าวมา
ไทย...จะยอมกลายเป็นรังโรคในระยะยาวแบบเดียวกับเค้าไหม?
ไทย...จะยอมเสี่ยงให้คนติดกันเยอะๆ เพื่อหวังลมๆ แล้งๆ กับแนวคิดภูมิคุ้มกันหมู่ที่เป็นไปได้ยากมากตามหลักฐานวิชาการที่มี อย่างนั้นหรือ?
ไทย...จะยอมให้คนติดเชื้อ เพื่อเอาเม็ดเงินมาหมุนประเทศ แล้วไล่ตามรักษา โดยรู้ทั้งรู้ว่ายามาตรฐานก็ยังไม่มี แปลง่ายๆ ภาษาชาวบ้านคือ รักษาเท่าที่พอจะมีปัญญาจัดการ อย่างนั้นหรือ?
และไทยเราจะยืดหยัดเอาเศรษฐกิจมาชี้นำประเทศ โดยไม่สนสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชนในประเทศหรือไม่?
ย้ำอีกครั้ง...ก้าวย่างแบบนั้นคือ ก้าวย่างสู่หายนะ กู้คืนกลับมาไม่ได้ และความพยายามที่เราทุกคนทำมาหลายเดือนจะสูญเปล่า
"...ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือคำตอบสุดท้ายครับ..."
#ใส่หน้ากากเสมอ
#ล้างมือบ่อยๆ
#อยู่ห่างคนอื่นหนึ่งเมตร
#พูดน้อยลง
#พบปะคนน้อยลงสั้นลง
#เลี่ยงที่อโคจร
#หมั่นสังเกตอาการตนเองและครอบครัว
#ต้องไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติครับ
ด้วยรักต่อทุกคน...
...