ทำเนียบ จัดพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา/กองทัพอากาศ ลำเลียงสิ่งของพระราชทานไปช่วยลาว/กยศ.เตือนกลุ่มผู้ใหญ่บ้านระวังการค้ำประกันให้ลูกบ้าน

26 กรกฎาคม 2561, 06:49น.


+++สำนักพระราชวัง แจ้งหมายกำหนดการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดว่า วันเสาร์ที่ 28 ก.ค. ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. สำนักพระราชวัง ได้จัดที่สำหรับลงนามและลงนามถวายพระพรไว้ภายในพระบรมมหาราชวัง ส่วนเวลา 12.00 น. ทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ จะยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ 21 นัด นอกจากนี้ สำนักพระราชวัง ยังแจ้งว่าเนื่องในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันอาสาฬหบูชา เทศกาลเข้าพรรษาและพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงให้งดการเข้าชมพระบรมมหาราชวัง และพระอุโบสถ ระหว่างวันที่ 27-28 ก.ค.นี้ ตลอดทั้งวัน



+++ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล เช้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เป็นประธานในพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) เวลา 09.15 น. นายกฯ เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ณ บริเวณถนนนครปฐม ด้านคลองเปรมประชากร



+++สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในแขวงอัตตะปือ และแขวงจำปาสัก ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ( สปป.ลาว ) โดยให้กองทัพอากาศจัดเครื่องบินลำเลียง C-130 นำสิ่งของพระราชทาน ประกอบด้วย น้ำดื่มพระราชทาน จำนวน 10,000 ขวด ผ้าเช็ดตัวพระราชทาน จำนวน 2,000 ผืน เครื่องกรองน้ำพระราชทาน จำนวน 49 เครื่อง อาหารและยาพระราชทานอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ กองทัพอากาศยังได้ลำเลียงถุงยังชีพในนามรัฐบาลไทย จำนวน 5,000 ชุด และเต้นท์บุคคล 1,000 หลัง จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย (ปภ.) เพื่อมอบให้ สปป.ลาวไปในเที่ยวบินดังกล่าวด้วย



+++พลอากาศตรีพงษ์ศักดิ์ เสมาชัย รองเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในฐานะ โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า กองทัพอากาศ จะลำเลียงทั้งหมด 4 เที่ยวบิน ในเส้นทางจากดอนเมืองถึงท่าอากาศยานนานาชาติปากเซ ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 20 นาที ทั้งนี้ เครื่องบินของกองทัพอากาศ เตรียมความพร้อม รอการอนุมัติการบินผ่านน่านฟ้าเข้าสปป.ลาว และความพร้อมด้านการจราจรทางอากาศของสนามบินปลายทาง ซึ่งเมื่อเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติปากเซแล้ว สถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ จะเป็นผู้มารับของและประสานการส่งต่อความช่วยเหลือให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่อไป



+++นายสมพาศ นิลพันธ์ รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดศูนย์รับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือฯ ที่เรือนพอเพียง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยประชาชนและภาคเอกชนที่ประสงค์จะบริจาคเงินช่วยเหลือ สามารถบริจาคได้ที่ทำเนียบรัฐบาล หรือนำเข้า บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาทำเนียบรัฐบาล ชื่อบัญชี “หัวใจไทยส่งไป สปป. ลาว” เลขที่บัญชี 067 - 0 - 12886 - 4 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2283 4900 และ 0 2283 4901 ในวันและเวลาราชการ



+++สำหรับสิ่งของสามารถติดต่อบริจาคได้ที่กระทรวงมหาดไทย สอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1784 ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นหน่วยประสานกับกองทัพนำเงินบริจาคและสิ่งของที่ได้รับบริจาคส่งมอบให้กับ สปป. ลาว



+++การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ นายสุเมธา วิเชียรเพชร  ผอ.สำนักจัดการกากของเสียและสารอันตราย กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า วันที่ 1 ส.ค. พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรฯ จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อบูรณาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อติดตามความคืบหน้าการทำงานประเด็นในการหารือ ที่ประชุมอาจจะมีการเพิ่มเติมรายชื่อประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์ และพลาสติกว่าอะไรนำเข้าได้หรือไม่ได้บ้าง เมื่อที่ประชุมได้ข้อสรุปแล้ว จะต้องนำไปออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ และหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการอนุญาตคือกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ ที่จะต้องดำเนินการประกาศเป็นกฎกระทรวง หรือกฎหมายเพื่อบังคับใช้ต่อไป



+++การไกล่เกลี่ยระหว่างกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กับน.ส.วิภา บานเย็น ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยน้อย ต.แม่ลาด อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร กยศ.จะระงับการบังคับคดีและขายทอดตลาดในเดือนหน้าไว้ชั่วคราว เพื่อให้ฝ่ายกฎหมายเพิ่มความเข้มข้นในการติดตามตัวและทรัพย์ของลูกหนี้รวมถึงผู้ค้ำประกันรายอื่นที่มีความสัมพันธ์เป็นญาติหรือผู้ปกครองของลูกหนี้ เพื่อรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ให้ได้มากที่สุด ก่อนนำมาหักกับส่วนที่ครูไปเป็นผู้ค้ำประกัน ส่วนกรณีที่มีการผ่อนชำระหนี้ไปแล้วต้องมีการหักลบหนี้ในส่วนของผู้ค้ำประกันออกด้วย



+++นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการ กยศ. แถลงว่า กยศ.ได้ตรวจสอบสถานะคดีของครูวิภาแล้วพบว่าเป็นผู้ค้ำประกันให้แก่นักเรียนที่เป็นผู้กู้ยืมตั้งแต่ปี 2541-2542 จำนวน 60 ราย จากจำนวนดังกล่าวมีผู้กู้ที่ชำระหนี้ปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว 29 ราย ชำระหนี้ตามปกติ 10 ราย ถูกฟ้องดำเนินคดีทั้งสิ้น 21 ราย ในจำนวนคดีที่ถูกฟ้องร้องมีการยึดทรัพย์แล้ว 4 ราย ซึ่งทั้ง 4 รายนี้ ครูวิภา ได้มาชำระหนี้ในส่วนที่ค้ำประกันเรียบร้อยแล้วซึ่งกองทุนจะดำเนินการถอนฟ้อง 4 ราย ส่วน 17 ราย อยู่ขั้นตอนการบังคับคดี  คิดเป็นเงินต้นที่ค้ำประกันประมาณ 1.9 แสนบาท



+++ผู้ค้ำประกันที่เป็นเหมือนครู คือ กลุ่มผู้ใหญ่บ้านที่เห็นใจลูกบ้าน กยศ.แนะนำให้ผู้ค้ำประกันเด็กนักเรียนจำนวนมาก ๆ ว่าขอให้ตรวจสอบว่านักเรียนที่ตัวเองเป็นผู้ค้ำประกัน สามารถจ่ายเงินคืน กยศ. ได้แค่ไหนและสามารถติดต่อได้ตลอดเวลาหรือไม่



แฟ้มภาพ 



 

ข่าวทั้งหมด

X